ความคิดของมนุษย์นั้นมีพลัง
การศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านพลังจิต เปิดเผยว่าในร่างกายคนเราทุกๆคนจะมีการแผ่รังสีที่เรียกว่า(Aura) เป็นรังสีของแสงที่ละเอียดอ่อนมาก(very subtle light)ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาหยาบของเรา รังสีเปล่งออกมาอยู่รอบๆ ตัวของแต่ละคน ซึ่งรังสีนี้ถูกควบคุมโดยสภาวะจิตใจของแต่ละคนอย่างเป็นอัตโนมัติ!
การพิสูจน์ต้องใช้กล้องเคอเรียน (Kirlian Photography) ซึ่งเป็นเครื่องมือพิเศษที่ใช้จับภาพรังสีที่มีความละเอียดอ่อนมาก ซึ่งผลทำให้ทราบว่า ผู้ที่มีสภาวะความคิดเป็นบวก คือเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีจิตใจดี มีความสงบเยือกเย็น มีความสุข ผลของภาพแสงที่ปรากฏออกมาจะมีเฉดสีโทนสว่าง ยิ่งผู้ใดที่มีพลังจิตด้านบวกมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกสมาธิอย่างเข้มข้นนั้นก็จะปรากฏให้เห็น มีแสงสว่างเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีก ตรงกันข้ามหากผู้ใดมีความคิดด้านลบ จิตตกหดหู่ เศร้าซึม อ่อนเพลียอ่อนล้า มีนิสัยมุทะลุ มีอารมณ์โกรธหรือโมโหร้ายเป็นนิจ เครียดวิตกกังวลเศร้าโศกเสียใจไม่มีความสุข ผลของภาพของแสงที่ออกมาก็จะมีโทนสีดำคล้ำ มีขอบเส้นที่มืดทึม ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ความตึงเครียดที่กดดันจิตใจของเราอยู่นั้นมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง! และนั่นก็เป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ ที่เกิดกับมนุษย์โดยไม่รู้ตัว อาทิเช่น ความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคนอนไม่หลับ โรคหัวใจ และโดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งทั้งหมดล้วนเกิดจากสภาวะจิตใจของมนุษย์เอง
ประเภทของความคิดจะเป็นตัวครอบงำจิตใจและกำหนดสภาวะจิตใจของคนๆนั้น ความคิดของจิตจะก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน(Vibrations) และมีผลกระทบถึงบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้นั้น ดังนั้น เมื่อใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ชิดก็จะได้รับกระแสของความคิดที่ปลดปล่อยออกมาด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่ว่ากระแสที่ปล่อยออกมานั้นจะเป็นกระแสทางด้านบวกหรือลบ บุคคลที่มีจิตใจที่อ่อนแอกว่าก็จะถูกกระแสของผู้อื่นที่เข้มแข็งกว่าครอบงำได้ จึงเป็นคำตอบได้ว่า เหตุใดเมื่อเราเข้าไปสู่บรรยากาศที่สกปรก ในบรรยากาศที่ตึงเครียด กดดันหรือวุ่นวายสับสนอลหม่าน ฯลฯ เราก็จะถูกดึงดูดเข้าไปสู่สภาวะนั้น ผลจากการถูกกระทบจากความคิดที่มีพลังลบนั้น บางคนถึงกับปวดหัวตัวร้อนหรือสมองมึนชา ตึงเครียดไม่มีสมาธิ นอนไม่หลับโดยไม่รู้สาเหตุ หนักเข้าก็กลายเป็นโรคนอนไม่หลับไปเลย แต่ถ้าเมื่อใดที่เราได้เข้าไปอยู่ในบรรยากาศของสถานที่ที่มีความสงบเยือกเย็น มีความปลอดโปร่งเบาสบาย สภาวะจิตของเราก็จะซึมซับบรรยากาศเหล่านั้นเขามาสู่ตัวเรา ทำให้รู้สึกถึงความสงบเยือกเย็นเช่นนั้นไปด้วย ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า คุณภาพในพลังความคิดของมนุษย์ สามารถกำหนดและมีผลต่อสภาวะแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ได้
ผู้คนบนโลกทุกวันนี้ต่างห่วงใยกับสภาวะแวดล้อมที่เกิดเป็นพิษกันมากขึ้น ต่างเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามที่คืบคลานเข้ามาทุกขณะ วัตถุธาตุธรรมชาติของโลกนี้พร้อมแล้วที่จะปะทุให้เห็นถึงความหายนะและภัยร้ายที่เติบโตขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์เองอันเกิดจากการเผาผลาญทำลายล้างธรรมชาติ และสร้างมลภาวะที่เป็นพิษให้เกิดกับเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ !
แหล่งกำเนิดมากมายที่เป็นต้นเหตุของมลภาวะที่เป็นพิษ อาทิ จากยวดยานพาหนะต่างๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม สารเคมีจากยาฆ่าแมลง การตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ ซึ่งก็รวมถึงมลพิษทางอากาศที่เกิดจากท่าอากาศยานการบินทั่วทั้งโลกและโรงงานอุตสาหกรรม หรือมลพิษทางน้ำที่เกิดจากการทิ้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และจากการทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลองของผู้คนที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนต่างๆ มลพิษทางดินที่เกิดจากการฝังกลบขยะ หรือพิษที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสีหรือจากการรั่วไหลของพลังงานนิวเคลียร์บนพื้นโลก แม้กระทั่ง มลพิษทางเสียงที่เกิดจากยานยนต์ทั้งหลาย เครื่องบิน หรือไม่ก็เสียงดังที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมหนักต่างๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม มลพิษที่มีความสำคัญที่สุดซึ่งนับเป็นเมล็ดพันธุ์ต้นกำเนิดของมลพิษทุกๆ รูปแบบ ก็คือ มลพิษทางจิตใจ เพราะว่าทุกข้อความทุกตัวอักษรที่มนุษย์คิดและนำไปสู่การปฏิบัติจนเป็นรูปธรรมด้วยน้ำมือมนุษย์ ล้วนมาจากความคิดที่กำเนิดจากจิตใจของมนุษย์นั่นเอง มลพิษทางจิตใจก่อให้เกิดมลพิษทางความคิดซึ่งจะแปรมาสู่คำพูดและการกระทำที่สกปรก
สิ่งสร้างทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการอย่างฟุ่มเฟือยนั้น ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก ทั้งหมดก็เกิดจากจิตมนุษย์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความคิดที่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งมวล ความคิดซึ่งถูกชักจูงด้วยอำนาจด้านลบของความชั่วร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของ กามตัณหาราคะและความใคร่ เป็นตัวนำมาซึ่งการเพิ่มของจำนวนประชากรในโลกสูงมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่งผลเชื่อมโยงที่ทำให้ความต้องการด้านวัตถุเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องอำนวยความสะดวก ความต้องการที่จะมีชีวิตหรูหราสะดวกสบาย เมื่อความต้องการทั้งหลายเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวเพราะความทะยานอยากและความโลภ จึงเป็นเหตุของการเกิดโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ก็เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง และแน่นอน การเพิ่มขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรมนั้น ก็ย่อมจะนำมาซึ่งสภาวะแวดล้อมเป็นพิษที่จะทำลายชั้นบรรยากาศของโลกมากยิ่งขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้! และนี่เองที่เป็นสาเหตุของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาก่อน แต่ทว่า…หายนะครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติที่แท้จริงนั้น….ยังมาไม่ถึงอย่างแท้จริง !
มลพิษทางจิต และผลกระทบ
ชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์นั้นก็คือ ดวงวิญญาณ ที่สถิตอยู่ในร่างกาย ดวงวิญญาณและร่างกายมีความแตกต่างกันและแบ่งแยกจากกัน ร่างกายมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุธาตุทั้ง 5 ประกอบด้วย เนื้อ หนัง กระดูก เส้นประสาท กล้ามเนื้อ อวัยวะต่างๆ รวมทั้งสมอง ส่วนดวงวิญญาณนั้นไม่ใช่วัตถุธาตุที่จับต้องได้ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความละเอียดอ่อนอย่างที่สุดและมีอำนาจมากมาย ซึ่งประกอบไปด้วย จิตใจ (Mind) สติปัญญา (Intellect) การตัดสินใจและรอยประทับ (Resolves or Sanskars) ดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ในร่างกายและจะคอยควบคุมกระบวนการคิดทั้งหมด ความคิดที่แสดงออกทางคำพูดและการกระทำจะถูกสั่งการโดยผ่านสมอง เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
และร่างกายมนุษย์เราก็ต้องเชื่อมโยงกับสภาวะแวดล้อม มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นอย่างแยกกันไม่ออกกับวัตถุธาตุทั้ง 5 ทางธรรมชาติ ตั้งแต่กระบวนการนำเข้าภายในร่างกาย การย่อยสลายและการขับถ่ายเป็นเวลายาวนานมาแล้ว กระบวนการนี้ได้ค่อยๆ เพิ่มพูนความสกปรกให้กับสภาพแวดล้อมภายนอกจนเกิดเป็นมลพิษขึ้น เมื่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษนั้นมาอยู่ล้อมรอบตัวมนุษย์ มลพิษก็จะส่งผลโดยตรงด้วยการไปบีบกดบีบคั้นร่างกายและจิตใจจนในที่สุดก็ทำให้มนุษย์เกิดมลพิษทางจิตใจขึ้น และมลพิษทางจิตนั้นก็ได้นำมนุษย์ไปสู่ความคิดที่จะสร้างโครงการต่างๆ ภายใต้กระแสคลื่นความคิดด้านลบ ซึ่งก็คือ ต้นเหตุของปัญหามากมายที่เป็นลูกโซ่อยู่ทุกวันนี้
มลพิษทางจิตนี้ได้ทำให้ จิตใจ(Mind)และ สติปัญญา(Intellect)รวมทั้งร่างกายมนุษย์ถูกกระทบอย่างรุนแรงจากสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษ และมลพิษทางจิตใจก็ชักนำมนุษย์ให้ก้าวไปสู่วงจรแห่งความเสื่อมทรามและชั่วร้ายที่เพิ่มทวีขึ้น
มลพิษทางจิต ส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม
ผลกระทบหลักๆ สามประการที่ก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมเป็นพิษ คือ
-
การลดลงหรือสูญสลายไปของชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone Layer)
-
ปรากฏการณ์ฝนกรด (Acid-rain)
-
สภาวะโลกร้อน (Global Warning)
จากการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ยอมรับและเปิดเผยแล้วว่า โอโซนในชั้นบรรยากาศโลกซึ่งตลอดมาได้ทำหน้าที่คอยปกคลุมล้อมรอบโลกไว้จากรังสีอุลตร้าไวโอเลตของพระอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก และยังทำหน้าที่ปรับสมดุลให้กับโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลกใบนี้ แต่ปัจจุบันนี้โอโซนเหล่านั้นได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ และกำลังจะหมดไปในไม่ช้านี้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกิดจากการรั่วไหลของสารฟรีออน(freon)หรือสารฟูลโอคาร์บอนที่ใช้ในอุตสาหกรรมความเย็นทั้งหลายเช่น แอร์คอนดิชั่น ตู้เย็น สารเอโรซอล(aerosol)หรือก๊าซเฉื่อยที่ใช้อัดในกระป๋องสเปรย์ ฯลฯ เมื่อสารฟรีออนนี้หลุดลอยเข้าไปในชั้นบรรยากาศและสะสมมากขึ้น ก็จะไปทำปฏิกิริยากับโอโซนซึ่งจะมีผลทำให้โอโซนนั้นลดน้อยลง ภาพถ่ายจากดาวเทียมได้แสดงให้เห็นว่าเหนือแอนตาร์กติกานั้นจำนวนโอโซนได้ลดน้อยลงจนทะลุเป็นวงกว้างอย่างน่าเป็นห่วง ซึ่งหมายถึงว่าชั้นโอโซนที่กรองแสงอุลตร้าไวโอเลตจากพระอาทิตย์ไว้นั้น บัดนี้กำลังจะหมดไปในไม่ช้า และอันตรายอันใหญ่หลวงกำลังคืบคลานเข้ามาสู่มวลมนุษยชาติทั้งอันตรายที่เกิดจากโรคมะเร็งทางผิวหนัง และอีกหลายๆโรคที่จะถูกกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการและก่อให้เกิดโรคภัยใหม่ๆที่ไม่มียารักษาได้ก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ และผลกระทบนี้ย่อมหมายรวมถึงสัตว์โลกและพืชผักธัญญาหารทั้งหมดบนโลกนี้
ภาพชั้นโอโซนสีเขียวที่ห่อหุ้มโลกไว้นานหลายล้านปี บัดนี้ได้ถูกทำลายและทะลุขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง นี่คือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงชั้นโอโซนที่ถูกทำลายตำแหน่งบริเวณแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลภาพถ่ายทางดาวเทียม ตั้งแต่ปี 1979-2009
การเพิ่มขึ้นของจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมบนโลก เท่ากับเพิ่มมลภาวะที่เป็นพิษให้กับชั้นบรรยากาศสูงขึ้นไปอีก เมื่อสารไนโตรออกไซด์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลอยขึ้นไปสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศ แล้วรวมตัวกับความชื้นของหมอกและไอน้ำก็จะแปรสภาพไปเป็นไนตริกเอซิดและซัลเฟอร์ริกเอซิด(Nitric acid and sulphuric acid) จากนั้นกลั่นตัวกลายเป็นฝนกรด ส่งผลให้จำนวนทะเลสาบที่มีประมาณ 40,000 แห่งทั่วโลกประสบปัญหาขาดแคลนสัตว์น้ำเพราะฝนกรดนี้ พื้นที่ป่าไม้นับพันกิโลเมตรก็จะถูกผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งพื้นที่เพาะปลูก แหล่งผลิตอาหารโลกก็ประสบปัญหาสภาพเสื่อมโทรมและเกิดมลพิษ เป็นปัญหาลูกโซ่ไปสู่สภาพการขาดแคลนแหล่งผลิตอาหารโลกที่กำลังเกิดรุนแรงขึ้นทุกขณะ
สภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ปฏิกิริยาเรือนกระจก(Green-House Effect)ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพราะการเพิ่มของจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก การเพิ่มขึ้นนั้นมีหลายสาเหตุด้วยกันคือการขุดใช้พลังงานน้ำมันมากเกินไป การบุกรุกทำลายป่าจนเป็นบริเวณกว้าง การเพิ่มขึ้นของมลพิษบนโลกและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มทวีขึ้นอีกเรื่อยๆ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่เกิดความร้อนที่เพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำนายไว้ว่าหากสถานการณ์ยังคงดำเนินไปอยู่อย่างนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภายในไม่กี่ปีนี้ น้ำทะเลจะสูงขึ้นถึงระดับที่มนุษย์ไม่อาจจะคาดคิดได้ นั่นอาจหมายถึงว่าผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้หรือติดกับมหาสมุทรทั้งหลายขณะนี้ก็อาจจะไม่มีที่อยู่อาศัยเลยเมื่อถึงเวลานั้น
ทุกวันนี้เราต่างได้ประจักษ์ถึงภัยร้ายแรงจากหายนะที่เกิดจากสภาวะโลกร้อนกันทั่วทั้งโลก ภัยร้ายแรงที่คร่าชีวิตมวลมนุษย์ไปอย่างที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์อารยะธรรมมนุษย์มาก่อน บัดนี้วิกฤตสภาพอากาศระดับโลกได้ถลำลึกไปจนยากที่กลับคืนมาสู่วันเดิมได้อีกแล้ว น้ำแข็งจากขั้วโลกและน้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญทั้ง7 สาย ที่หล่อเลี้ยงผู้คน 40% ของประชากรโลก จากนี้ไป มวลมนุษย์จะต้องเผชิญกับสภาวะขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรงทั่วโลก เพราะผลของสภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยละลายจนหมด
สภาวะโลกร้อนได้ทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น ก่อให้เกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน ไซโคลน จำนวนหลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทริน่าที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม 2005 ได้สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์ ทำให้มีคนตาย 2 พันกว่าคน และทรัพย์สินเสียหาย 8 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ
เอเอฟพี รายงานว่า – ในรอบปี 2008 ที่ผ่านมา ได้เกิดภัยพิบัติและหายนะขึ้นในที่ต่างๆ ทั่วโลก สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินมากมาย ได้แก่
มหันตภัยพายุไซโคลนนาร์กิส
พายุไซโคลนนาร์กิสพัดถล่มพม่า ทำให้มีผู้เสียชีวิต หรือสูญหายถึง 138,000 คน ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย 2.4 ล้านคน และสร้างความเสียหายให้เรือกสวนไร่นาเป็นบริเวณกว้างขวาง
ธรณีพิโรธในจีน เจอแผ่นดินไหวรุนแรงถึง 8.0 ริกเตอร์
เหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 8.0ริกเตอร์ เล่นงานมณฑลเสฉวนของจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 88,000 คน และไม่ต่ำกว่า 375,000คนที่ได้รับบาดเจ็บ ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยอีก 5ล้านคน และอีกเกือบ 1.5 ล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่น โดยภัยพิบัติครั้งนี้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่าสูงถึง 124,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอาจมากถึง 254,000 ดอลลาร์
พายุใหญ่ 4 ลูก เฮอริเคนและโซนร้อน ชายฝั่งสหรัฐฯ ถูกพายุเฮอริเคนกระหน่ำยับ
พายุโซนร้อนเฟย์ เฮอริเคนกุสตาฟ พายุฮานนา และเฮอริเคนไอค์ ได้กระหน่ำเฮติลูกต่อลูกตลอดเดือนสิงหาคม และกันยายน 2008 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 800 คน โดยเป็นประชากรกว่าครึ่งของเมืองโกนาอีฟส์ด้วย นอกจานี้พายุเหล่านั้นยังทำให้ประชาชนไร้บ้านนับล้านคน โดยเฉพาะที่แคริบเบียนเคาน์ตี ซึ่งเป็นเมืองที่ยากจนที่สุดในภูมิภาค บ้านเรือนเสียหายกว่า 100,000หลัง
ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ผลาญบ้านเรือนผู้คนหลายร้อยหลังคา
ไฟป่าร้ายแรงลุกลามไปทั่วตอนเหนือของลอสแองเจลีส เมื่อกลางเดือนตุลาคม ด้วยมีกระแสลมแรงช่วยพัดให้ไฟลุกโชนขยายกินพื้นที่กว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีผู้เสียชีวิต 1 คน และอีกนับหมื่นคนที่ต้องหนีออกจากบ้านของตัวเอง บริเวณที่ถูกไฟไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกว่า 19,000 เอเคอร์ ภายในเวลาเพียง 5 วัน นอกจากนี้ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ยังเกิดไฟป่าอีก 3 แห่ง เผาผลาญบ้านเรือนกว่า 800 หลังคา กินพื้นที่กว่า 42,000 เอเคอร์ในลอสแองเจลีส และซานตา บาร์บาราด้วย
ส่วนในปี 2010 ที่ผ่านมา มนุษย์ก็ต้องประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างหนักหนาสาหัสกันแล้ว บริษัทประกันภัย Munich Re รายงานว่า เมื่อปีที่ผ่านมาความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาตินั้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จำนวนผู้เสียชีวิตมีกว่า 295,000 ราย และมูลค่าความเสียหายกว่า 130 พันล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2009 จำนวนผู้เสียชีวิตมีทั้งหมด 11,000 รายและมูลค่าความเสียหายประมาณ 60 พันล้านเหรียญ และตัวเลขความเสียหายในปี 2010 นี้จะยิ่งน่าตกใจหากย้อนกลับไปดูสถิติเฉลี่ยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 66,000 ราย และทรัพย์สินเสียหายเฉลี่ย 95 พันล้านเหรียญ
ตำแหน่งของการเกิดภัยพิบัตินั้นก็ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆ มา แบ่งตามทวีปได้เป็น ทวีปอเมริกาครองแชมป์สูงสุดที่ 362 ครั้ง ตามมาด้วยเอเชียของเรา 310 ครั้ง ยุโรป 120 ครั้ง 90 ครั้งในแอฟริกาและ 65 ครั้ง ในออสเตรเลียและโอเชียเนีย ภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดก็คือแผ่นดินไหว โดยแค่แผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ ที่เฮติเมื่อเกือบ 1 ปีที่แล้วครั้งเดียวก็มีผู้เสียชีวิตกว่า 222,570 ราย แต่มูลค่าความเสียหายหายอยู่ที่ 8,000 ล้านเหรียญ เนื่องจากทรัพยสินที่เสียหายไม่ได้มีการทำประกันไว้ ส่วนที่สร้างความเสียต่อทรัพยสินมากที่สุดคือแผ่นดินไหว 8.8 ริกเตอร์ที่ชิลี ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายกว่า 30 พันล้านเหรียญ รองๆ ลงมาคือ ไฟไหม้ป่าที่รัสเซีย แผ่นดินไหวในจีน และน้ำท่วมในปากีสถาน
มลพิษทางดวงวิญญาณ คือ สาเหตุหลักของมลพิษทั้งปวง
ดวงวิญญาณของมนุษย์นั้นมีพลัง พลังดวงวิญญาณที่สกปรกนั้น เปรียบได้กับต้นไม้ที่ปราศจากความร่มรื่นเขียวชอุ่มและไร้ซึ่งความหอมของดอกไม้และดอกผล นานมาแล้วที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ถูกกระหน่ำโจมตีด้วยความคิดที่ชั่วร้ายและความคิดที่ไร้สาระ ดวงวิญญาณจึงไม่สามารถจะสัมผัสกับความสงบ ความรักและความสุขที่แท้จริงได้ นั่นเพราะเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้ดวงวิญญาณของเราไปสู่มลพิษ ซึ่งจะจำแนกได้ 5 ประการ คือ
1. กามราคะ(Sex lust) คือ ความไม่บริสุทธิ์ มั่วโลกีย์ เบี่ยงเบนและความผิดปกติทางเพศ การลักลอบและการคบชู้
2. ความรุนแรง (Violence) ความโกรธแค้นเกลียดชัง ความก้าวร้าว และการขาดความยับยั้งอดทนอดกลั้น นำไปสู่การก่ออาชญากรรม เช่น การฆ่าคนตาย การฆ่าตัวตาย การข่มขืนกระทำชำเรา
3. ความโลภ (Greed) คือ ความกระหายทยานอยากในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนมากเกินไป ความอยากมีอยากครอบครองสิ่งของและผู้คนที่ไม่ใช่ของตน ไม่รู้จักความพอเพียง ความอิจฉาริษยา
4. ความยึดติดผูกพัน (Attachment) คือ การมีจิตใจที่คับแคบ เห็นแก่ตัว อ่อนแอ ขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ยึดมั่นและพึ่งพิงสิ่งรอบตัว
5. ความหยิ่งทะนงในตน (Ego-Arrogance) ความดื้อดึงยโส หลงตน มีทิฐิและความอวดถือดี
ผลที่ตามมาจากมลพิษทางดวงวิญญาณ ทั้ง 5 ก็คือ
1. การเพิ่มของจำนวนประชากรบนโลกนี้จนมากเกินไป นำไปสู่ปัญหามากมายในสังคม
2.ความวุ่นวายสับสนในสังคม มีแต่ความไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน มีแต่การโกหกหลอกลวง เอาเปรียบกดขี่ เกิดการจลาจลและไร้สันติสุขทั่วทั้งโลก
3. การขยายตัวของชุมชนเมืองที่สร้างปัญหาสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษอย่างรุนแรง
4. การใช้อำนาจของผู้นำที่ไม่เป็นธรรมและมีจิตที่สกปรก พาไปสู่ความไม่มีขื่อมีแปขึ้นในสังคมโลก
5.ทัศนคติที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงตนถือดีนำไปสู่ความกลัวและความหวาดระแวงต่อกัน จนก่อให้เกิดสงครามการทำลายล้างและหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ชาติ
ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากมลพิษทางจิตใจ ซึ่งสามารถจะแก้ปัญหาได้ด้วยการรู้ตื่นขึ้นของจิตภายในด้วยการเชื่อมต่อทางความคิดและความรู้สึกกับสิ่งสูงสุดอันบริสุทธิ์สงบ ปัญหาใหญ่ๆของมนุษย์ที่ประสบอยู่ในขณะนี้ก็จะแก้ไขได้ไม่ยาก จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสูงส่งบริสุทธิ์ สงบ ปีติสุขและความรัก เปรียบได้กับต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ให้ร่มเงาที่ร่มเย็นแก่ผู้คนในสังคมให้ได้พักผ่อนหย่อนใจหายเหน็ดเหนื่อย สภาวะจิตใจที่ดีสามารถจะบ่มเพาะขึ้นได้ก็ด้วยการพัฒนาและรู้ตื่นขึ้นของดวงวิญญาณในตน ดั่งเช่นดวงวิญญาณสูงสุดที่เป็นจุดแห่งแสงที่ทรงด้วยอำนาจแห่งความรักและบริสุทธิ์เสมอมา
มลพิษทุกชนิดบนโลกนี้มีต้นกำเนิดและเกิดจากการริเริ่มโดยจิตใจของมนุษย์ จิตใจเป็นเมล็ดพันธุ์ของความคิด และความคิดก็คือต้นกำเนิดของความต้องการที่จะสร้างวัตถุสิ่งของทั้งหลายเพื่อมาสนองความต้องการและความโลภของตน โดยไม่ได้ตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติที่เป็นเพื่อนผู้โอบอุ้มเราไว้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เราประสบพบและกำลังทวีความรุนแรงสูงขึ้นถึงขีดสุดนั้น เกิดขึ้นจากมลพิษทางจิตหรือเป็นการตกต่ำของพลังดวงวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง แต่สิ่งนี้สามารถจะแก้ปัญหาได้ด้วยการตื่นขึ้นของดวงวิญญาณภายในของเราเอง และ ราชโยคะ คือเครื่องมือที่สำคัญอันนั้น