ความคิดที่เป็นสากลของพระเจ้า
สิ่งหนึ่งที่ผู้คนในโลกกล่าวอ้างถึงพระเจ้าเหมือนๆกันก็คือ พระเจ้านั้นเป็นแสง จะเห็นได้จากชาวมุสลิมก็มีความเชื่อว่าพระเจ้าหรืออัลลาห์ คือดวงวิญญาณสูงสุดผู้เป็นแสง ในนครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นสถานที่ที่ชาวมุสลิมเดินทางไปแสวงบุญ ณ สถานที่แห่งนั้นมีหินศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเรียกว่า สาง-อี-อัสวัด (Sang-E-Aswad) ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ คานา-อี-คาบา (KHANA-E-KABA) หินนี้เองที่ผู้มาแสวงบุญที่มาจะส่งจูบจากระยะไกลก่อนที่จะเริ่มพิธีแสวงบุญ สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ สาง-อี-อัสวัด มีรูปลักษณะที่โดดเด่นคล้ายคลึงกับ ชีว่า-ลิงก้า! ส่วนทางด้าน ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย์และชาวคริสเตียนจากหลายสำนัก ต่างมีความเชื่อว่าโมเสสที่เดินขึ้นไปบนภูเขาไซนาย และบนเขานั้นก็ได้รับนิมิตจากพระเจ้าและเป็นที่มาทำให้เกิดเป็นบัญญัติสิบประการนั้น พระเจ้าก็อยู่ในรูปของเปลวไฟซึ่งชาวคริสต์เรียกขานว่า ยะโฮวา (Jehovah) พระคริสต์ และ กูรูนานาค ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์และก่อตั้งนิกายซิคส์ (Siksism) ทั้งสองศาสนานั้นก็ประกาศคำสอนว่า พระเจ้านั้นมีเพียงหนึ่งเดียวและท่านก็เป็นแสง ! เรื่องลี้ลับต่างๆของเหล่าโยคีผ่านมาทุกยุคสมัยต่างก็ได้รับประสบการณ์ของแสงในขณะนั่งโยคะสมาธิ ซึ่งก็ยืนยันถึงสิ่งที่ได้สัมผัสนี้เช่นเดียวกัน จึงเป็นเหตุหลักที่ทำให้ตามวัดต่างๆ จึงมีการจุดตะเกียงดิน และในโบสถ์ก็จุดเทียนไขทิ้งไว้ นั่นเพราะต่างเชื่อกันว่า เปลวไฟนั้นเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระเจ้า!
ในประเทศญี่ปุ่น มีนิกายหนึ่งซึ่งเหล่าสมาชิกจะบำเพ็ญเพียรด้วยการนั่งเพ่งรวมสมาธิไปยังหินรูปไข่ที่เรียกว่า “ชินกอน เซกิ” (Chinkon Seki) ซึ่งหมายความว่า ผู้ให้ความสงบ และเมื่อทำการสำรวจซากสลักหักพังของนครวัดนครธมซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคโบราณในประเทศเขมร ก็จะพบเห็นหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นร่องรอยการกราบไหว้บูชาชีว่า–ลิงก้า ที่ปรากฏให้เห็นชัดผ่านศิลปะและปราสาทหินอันใหญ่โต แม้แต่ปราสาทหินที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยต่างก็พิธีกรรมบูชาชีว่าเช่นกัน(อินเดียตอนเหนือจะเรียกว่าชื่อพระเจ้าว่า ชีว่า ส่วนอินเดียตอนใต้จะเรียกว่า ศิวะ ส่วนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลทางศาสนาจากอินเดียตอนใต้ จึงได้ออกเสียงตามว่า พระศิวะ ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้) ผลการสำรวจทางโบราณคดีของชาวอียิปต์โบราณ ทั้งชาวเฟนีเซีย ชาวอาหรับ ชาวกรีก ชาวอินเดียนแดงและชาวอินโดนีเซีย ต่างก็ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่ามีการบูชากราบไหว้หินรูปไข่! ดังนั้นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชีว่านั้นถือเป็นการบูชาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จักมา แนวคิดที่ว่าพระเจ้าเป็นรูปของแสงจึงเป็นความคิดที่เป็นสากล!
ในประเทศอินเดียก็ปรากฏวัดของ ชีว่า ให้พบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งมีการตั้งชื่อเรียกนามของพระเจ้าไปต่างๆเช่น รามอิศวร(Rameshwaram หมายถึง พระเจ้าของศรีราม), โกปอิศวร(Gopeshwar หมายถึงพระเจ้าของศรีกฤษณะ), อมาร์นาถ (Amarnath), วิศวนาถ (Visshwanath) โสมนาถ(Somnath), ปาชูปาตินาถ (Pashupatinath ในเนปาล), มหากาฬอิศวร(Mahakaleshwar), มุกตีอิศวร(Mukteshwar) ฯลฯ ซึ่งชื่อเหล่านั้นเป็นชื่อที่แสดงถึงคุณสมบัติและพรรณนาถึงการกระทำที่สูงส่งของพระเจ้าชีว่า ในอินเดียก็ยังมีนิกายต่างๆ ที่มีชื่อว่า “ชัคติ” (Shakti), “กันปาติ” (Ganpat), “ผู้กราบไหว้บูชาราม” (Rama-worshippers), “กฤษณะ- อุปศักติ” (Krishna – Upasaks)ทั้งหมดล้วนศรัทธาและเชื่อในพระเจ้าชีว่า ในประเทศอินเดียมีวัดของชีว่าที่ยิ่งใหญ่โดดเด่นถึง 12 แห่ง ซึ่งชาวอินเดียจะขนานนามว่าเป็น “จโยติ ลิงกัมแมท” (Jyotirlingam Maths) ซึ่งหมายถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแสง หลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏทั้งที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีและคัมภีร์ของศาสนาดั้งเดิม รวมถึงภาษาศาสตร์ทั้งหลาย ฯลฯ ต่างก็แสดงให้เห็นถึงรากฐานความเชื่อในพระเจ้าที่แตกต่างออกไปเหมือนกิ่งก้านสาขาที่ล้วนเติบโตจากเมล็ดพันธ์เมล็ดเดียวกันทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องยืนยันที่มีหลักฐานประจักษ์ชัดถึงรูปและชื่อที่สูงส่งของพระเจ้าว่า ท่านเป็นจุดแสง และมีชื่ออันสูงส่งคือ ชีว่า(Shiva) ดังปรากฏสัญลักษณ์ทั่วทั้งโลก คือ ชีว่า-ลิงก้า (Shiva Linga) เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของท่านเพื่อทำการกราบไหว้บูชา
พระเจ้าเป็นจุดกำเนิดแสงที่เป็นอมตะ ท่านปราศจากร่าง ท่านเป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ ความรัก ความสงบที่มีแสงในตัวเอง มนุษย์จะเข้าถึงท่านก็ด้วยดวงตาที่สาม(Third Eyes) ท่านเป็นเหมือนกับดวงดาวที่แสนเล็ก รูปของท่านก็เป็นเช่นเดียวกับดวงวิญญาณมนุษย์ ท่านคือสิ่งที่ทุกศาสนาพยายามสร้างรูปแทน เช่น หินรูปไข่วงรี เปลวไฟหรือดวงไฟเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนรูปของท่าน ท่านมาเพื่อให้พลังกับดวงวิญญาณลูกๆให้ฟื้นคืนดังเดิมและมอบมรดกที่สูงส่งคือความรู้ราชโยคะ เพื่อเป็นหนทางกลับคืนสู่สวรรค์อีกครั้ง ท่านมีนามว่า “ชีว่าพ่อแห่งโลก” (Shiva) เป็นผู้สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ท่านอยู่เหนือวงจรของการเกิดและการตายชั่วนิรันดร์
ที่อยู่อันสูงส่งของพระเจ้า
สรรพสิ่งใดที่มีรูป(Form) แม้ว่าจะปราศจากร่าง (Body) ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะต้องมีพื้นที่ (space) ให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ ดวงวิญญาณสูงสุด (Supreme Soul) พระเจ้าผู้เป็นพ่อของดวงวิญญาณทั้งหมด แม้ท่านอยู่เหนือการหยั่งรู้ความเข้าใจและสติปัญญามนุษย์ที่จะไปถึงได้ แต่ท่านก็มีที่ที่ท่านสถิตอยู่เช่นเดียวกัน หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าบ้านของท่าน พระเจ้าชีว่า กล่าวว่า ท่านอาศัยอยู่ใน บราห์มโลก(Bramhmlok)<ที่คนไทยมักถูกสอนให้เรียกว่า พรหมโลก>,หรือจะเรียกว่า ปรโลก (Parlok),หรือเรียกว่าพารามธรรม (Paradham)
พารามธรรม(หรือบราห์มโลก-พรหมโลก) ที่นั่นคือโลกแห่งวิญญาณแผ่ซ่านไปด้วยธาตุที่หกซึ่งเป็นธาตุแสง มีความละเอียดอ่อนเป็นสีแดงปนทองเปล่งประกายเจิดจ้าและมีชื่อเรียกว่า “บราห์ม หรือ พรหม-ที่คนไทยเรียก” เป็นสถานที่ที่ปราศจากร่างกายหยาบ และอยู่ไกลโพ้นไปจากโลกแห่งกายหยาบที่มีตัวตนของมนุษย์ ที่นั่นไม่มีทั้งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาว เป็นบ้านดั้งเดิมของทุกๆดวงวิญญาณ และเป็นที่ซึ่งดวงวิญญาณจะต้องกลับมาอาศัยอยู่ภายหลังจบสิ้นการเล่นละครบนโลกกายหยาบแล้ว ทุกดวงวิญญาณจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ณ สถานที่แห่งนี้ บางศาสนาอ้างถึงโลกนี้เช่นกันว่าเป็นเป้าหมายสูงสุด อาทิ โลกแห่งการหลุดพ้น โลกแห่งนิพพาน(Nirvana) เป็นต้น ความจริงแล้ว ไม่มีดวงวิญญาณใดแม้แต่ดวงเดียวที่จะมายังโลกนี้ได้จนกว่าจะจบสิ้นกัลปวงจรละครโลกแล้วเท่านั้น ไม่ต้องทำความเพียรใดๆ ทุกดวงวิญญาณก็ต้องกลับมายังดินแดนแห่งนี้เมื่อจบสิ้นละครโลกแล้วอย่างอัตโนมัติ ทั้งหมดกลับมาเพื่อพักผ่อนอยู่ในความปีติสุขนิ่งสงบอยู่กับพ่อชีว่า ในสภาวะของ “มุคตี”คือสภาวะของการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ หรือ “สภาวะหลุดพ้น” ที่นี่คือ “โลกแห่งการหลุดพ้น” ที่แท้จริง
ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับดวงวิญญาณทุกดวง
พระเจ้า พ่อชีว่าเป็นมหาสมุทรของความรู้ ความสงบ ความรัก ความปีติความบริสุทธิ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจทั้งหมด ท่านได้ให้คุณสมบัติทั้งหมดนี้กับดวงวิญญาณผู้มีโยคะกับท่าน แม้ว่าความสัมพันธ์ที่มีกับท่านนั้นจะเป็นไปได้ทุกรูปแบบ พระเจ้าชีว่ามีความสัมพันธ์พื้นฐาน 3ประการกับทุกๆดวงวิญญาณ คือ
1. พระเจ้าในฐานะเป็นพ่อสูงสุด (Supreme Father)
ในฐานะที่เป็นพ่อ พระเจ้าชีว่า ให้กำเนิดทางดวงวิญญาณแก่มวลมนุษย์ทั้งหมดด้วยการปลุกพวกเราขึ้นมาจากไม่มีความรู้เรื่องดวงวิญญาณ เมื่อดวงวิญญาณได้รับความรู้ว่าตนนั้นคือดวงวิญญาณและกลายเป็นลูกของพระเจ้า ดวงวิญญาณจะได้รับมรดกซึ่งเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าในรูปของ ความบริสุทธิ์ สงบและความปีติโดยอัตโนมัติ นำมาซึ่งความสุขความเจริญมั่งคั่งที่แท้จริงถึงครึ่งหนึ่งของวงจรโลก สิ่งนี้เป็นมรดกที่ไม่สามารถทำลายได้ เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ดวงวิญญาณทุกดวงสามารถจะได้รับจากพระเจ้าในฐานะที่ท่านเป็นพ่อ เมื่อดวงตาที่สามได้ถูกเปิดแล้วเราก็จะเห็นดวงวิญญาณทุกดวงเป็นพี่น้องกัน เป็นจุดแห่งแสงซึ่งปราศจากร่าง ไม่ใช่เพศหญิงหรือเพศชาย และเราต่างมีพ่อที่สูงส่งผู้เดียวกัน ความสัมพันธ์ทางดวงวิญญาณมีอย่างเดียวก็คือความเป็นพี่น้องสากล จึงสรุปได้ว่าความจริงแล้ว ทุกคนมีพ่อสองคน พ่อคนแรกคือพ่อทางกายซึ่งให้กำเนิดทางร่างกาย(เกิดจากกรรมเก่าที่ผูกพันเกี่ยวเอาไว้) อีกหนึ่งคือพ่อทางดวงวิญญาณ ผู้ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือ ดวงวิญญาณสูงสุด ชีว่า
2. พระเจ้าในฐานะที่เป็นครูสูงสุด (Supreme Teacher)
ในฐานะที่เป็นครูสูงสุด เพราะท่านเป็นมหาสมุทรของความรู้ที่ได้ลงมาเปิดเผยความรู้สูงสุดสู่โลกในห้วงเวลาที่อธรรมนั้นพุ่งถึงขีดสุด ท่านมาแก้ไขสติปัญญามนุษย์ให้กลับไปสู่ความประเสริฐสูงส่ง สามารถแยกแยะสิ่งถูกและผิด ดีและเลว จริงหรือหลอกลวง และท่านมาเปิดเผยความรู้อย่างสมบูรณ์เกี่ยวกับตัวท่านและสิ่งสร้างของท่าน รวมทั้งสอนหลักการและวิธีปฏิบัติราชโยคะ
3. พระเจ้าในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดทางดวงวิญญาณ (Sat guru)
ในฐานะที่เป็นผู้ชี้นำทางสูงสุด (Sat guru) พระเจ้ามาทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดหลุดพ้นจากกิเลสและมาพากลับไปยังบ้านดั้งเดิม (Supreme Abode) ที่มีแต่ความสงบเงียบ อบอุ่น นั่นคือโลกวิญญาณ หรือพารามธรรม ไม่มีดวงวิญญาณใดสามารถกลับบ้านโดยไม่ผ่านการชำระให้บริสุทธิ์ ผู้นำทางผู้เป็นดวงวิญญาณสูงสุดชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์จากความสกปรกโดยผ่าน ราชโยคะ
ผู้คนโดยทั่วไปไม่เข้าใจนัยสำคัญที่ถูกต้องในความสัมพันธ์ทั้งสามของการเป็นพ่อ พร้อมทั้งเป็นครูและผู้นำสูงสุดทางดวงวิญญาณ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำลายสิทธิ์ตัวเองออกจากกองมรดก ดังนั้นจงทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรักต่อท่าน ด้วย 3 หนทางนี้ ทำให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ และมรดกสูงสุดก็จะเป็นของทุกดวงวิญญาณอย่างแน่นอน
พระเจ้าในฐานะเป็นผู้ชี้ขาดสูงสุด
เวลานั้นไม่เพียงแต่ถูกกำหนดไว้แล้วเท่านั้น แต่ว่า..เวลานั้นมีจำกัด! เมื่อใดที่เวลาสำหรับทำความเพียรจบสิ้นลง พระเจ้าก็จะจบบทบาททั้ง 3 คือในฐานะของพ่อสูงสุด ครูและผู้ชี้นำทางแก่ดวงวิญญาณด้วยเช่นกัน จากนั้นพระเจ้าก็จะรับบทบาทของ ธรรมราช (Dharamaraj) นั่นคือท่านจะรับบทบาทการเป็นศาลผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุด ภายหลังที่ท่านลงมาเปิดเผยวิธีการที่ง่ายต่อการพัฒนาตัวเราเอง ท่านให้พลังอำนาจทั้งหมดเพื่อการชำระสิ่งสกปรกของเราด้วย “ราชโยคะ” และเราก็ยังเพิกเฉยต่อเสียงเรียกของท่าน และไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ดวงวิญญาณของเราจะต้องถูกชำระล้างโดยการถูกลงโทษในฐานะที่เป็นกฎแห่งกรรม นี่คือบรรทัดฐานที่ละครโลกหมุนไปไม่จบสิ้น ทุกๆการกระทำที่กระทำไปโดยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสทั้งห้าจะต้องถูกลงโทษ ณ เวลาของการตัดสิน พระเจ้าผู้เป็นพ่อจะไม่เข้ามาแทรกแซงเพื่อปกป้องดวงวิญญาณทั้งหลาย แต่ท่านจะอยู่อย่างละวางและรักษาความเป็นกลางในฐานะผู้ชี้ขาดสูงสุด!
การกระทำสามประการอันสูงส่งของพระเจ้า
พ่อชีว่ากล่าวว่า ท่านกระทำหน้าที่สามประการคือ การสร้าง การบำรุงรักษาและการทำลาย ซึ่งเป็นการกระทำที่มีผลสัมพันธ์ต่อโลกทั้งหมด ไม่ได้ผูกมัดอยู่กับมนุษย์คนใดเป็นพิเศษ หน้าที่ของการสร้าง การบำรุงรักษาและการทำลายล้างของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับ การเกิด เติบโตและการตายของบุคคลใดๆ โดยเฉพาะ สิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดควบคุมโดยการกระทำของบุคคลแต่ละคนที่ทำไว้ในชาติก่อนหน้า และผลรวมของการกระทำในชาตินี้ด้วย พระเจ้าไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือกระตุ้นการกระทำใดๆ ของมนุษย์! ดวงวิญญาณแต่ละดวงจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว หากการกระทำนั้นดีดวงวิญญาณก็จะพบกับความสุขและปีติ ถ้าทำเลวก็จะพบกับความทุกข์โศกเศร้าและไม่มีสุข สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยขบวนการที่เป็นอัตโนมัติ และผลรวมทั้งหมดของการกระทำที่ดวงวิญญาณทั้งหมดกระทำไปก็จะเป็นตัวกำหนดสภาวะของโลกให้เป็นไปตามสภาวะนั้นๆ สัมพันธ์กับห้วงของเวลาโลกที่เดินไป
ความหมายของสิ่งสร้างโดยพระเจ้า
หน้าที่สามประการของพระเจ้าชีว่าที่ซ้อนกันอยู่ หมายถึง การสร้าง(ความจริงคือการทำสิ่งที่เก่าให้กลับมาใหม่อีกครั้ง) ระเบียบของโลกใหม่ การบำรุงรักษาโลกที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และการทำลายล้างโลกเก่า ภารกิจของพระเจ้าคือ การชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์เมื่อโลกได้จมลงสู่ก้นบึ้งของสภาวะที่ไร้ศีลธรรม พระเจ้าก็ก่อสร้างโลกที่ถูกต้องขึ้นและทำลายล้างโลกที่ไม่เป็นธรรม ท่านทำให้โลกยุคเหล็กจบลงและนำยุคทองกลับมาอีกครั้ง การกระทำของพระเจ้าที่เรียกว่า การสร้าง ไม่ได้หมาย ความว่าก่อสร้างบางอย่างขึ้นมาจากการสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่เลย แต่หมายความถึงการปรับปรุงศีลธรรมหรือนำมวลมนุษย์ให้กลับมามีความสุขสดชื่นโดยทำการยกระดับสติปัญญาของมนุษย์ให้สูงส่ง ด้วยน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นการสร้างสวรรค์บนโลกอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีอะไรที่สร้างขึ้นมาแล้วเป็นสิ่งคงทนถาวร อะไรที่ถูกสร้างขึ้นมาจะต้องถูกทำลาย! เมล็ดได้ถูกหว่านลงไปบนท้องทุ่ง เมล็ดงอกงามเติบโตและในที่สุดก็ไปสู่จุดจบ ธัญญาหารก็ถูกเก็บเกี่ยว มนุษย์ได้วางแผนและทำตามแผนที่ได้วางไว้ เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะถูกทำลายไปตามกาลเวลา การทำงานของพลังทั้งสามของ การสร้าง การบำรุงรักษาและการทำลายล้าง เป็นมรดกในระบบของตัวของมันเอง ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองที่มีการคงอยู่สืบเนื่องไปอย่างถาวร สรรพสิ่งจะต้องผ่านสภาวะทั้งสามนี้
เวลาแห่งการกระทำที่สูงส่งของพระเจ้า
ละครโลกก็ทำหน้าที่เช่นเดียวกัน พระเจ้าพ่อชีว่ากระทำการที่สูงส่งของท่าน ในการสร้าง บำรุงรักษาและทำลายล้าง ในตอนจบของทุกๆ กัลป์ ซึ่งเป็นเวลาที่ความไม่ถูกต้องชอบธรรม ไม่มีศาสนาและไม่มีความสงบถึงขีดสุดมาถึง ท่านจะแสดงการทำหน้าที่ที่สูงส่งสามประการโดยผ่านเทพละเอียดที่สูงส่งทั้ง 3 คือ บราห์มา วิษณุและ ชางก้า