ตรีมูรติ(รูปทั้้งสาม) ความหมายอันลึกซึ้งซ่อนนัยยะสำคัญ

ที่ไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์แห่ง 3 เทพเพื่อไว้สักการะกราบไหว้ขอพร

Screen Shot 2556-11-24 at 2.06.57 PM

ตรีมูรติ หมายถึง การกระทำอันสูงส่งสามประการของพระเจ้า

                   พระเจ้าชีว่ากล่าวว่า รูปทั้งสามของท่านก็คือ หน้าที่สามประการ คือ การสร้าง การบํารุงรักษาและการทําลาย(ยามที่โลกมาถึงจุดตกต่ำที่สุดของวงจร) พระเจ้าเป็นพ่อสูงสุดของมวลมนุษย์ทั้งหมด หน้าที่ทั้งสามประการของท่านมีความสัมพันธ์ต่อโลกทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวข้องผูกพันกับมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพิเศษเฉพาะ หน้าที่ในการสร้าง การบํารุงรักษาและการทําลายล้างของพระเจ้า ก็ไม่ได้หมายถึงการเกิด การเติบโตและการตายอันเป็นสัจจะของชีวิตของบุคคลใดๆ เป็นพิเศษอีกเช่นกัน เพราะบทบาทในชีวิตของมนุษย์แต่ละคนที่ได้รับต่างอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำ(Law of Karma) ดังนั้นสิ่งที่แต่ละคนพานพบในชีวิตหนึ่งขึ้นอยู่กับการกระทำที่บุคคลนั้นกระทําไว้ในชาติก่อนหน้านี้และรวมทั้งการกระทําในชาติปัจจุบันด้วย พระเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในผลที่เกิดขึ้นกับมนุษย์แต่ละคน ท่านไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ก้าวก่าย เสกสรรปั้นแต่งหรือมีส่วนในการกระตุ้นให้มนุษย์กระทําสิ่งต่างๆในชีวิต    เป็นกฎที่ดวงวิญญาณแต่ละดวงจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทําของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการกระทําที่ดีหรือกระทําชั่ว หากกระทําดี ดวงวิญญาณก็จะรับกับความสุขและความปีติ ถ้ากระทําสิ่งที่เลว ดวงวิญญาณก็จะได้รับทุกข์เวทนา เศร้าโศกไร้ซึ่งความสุข สิ่งนี้เป็นกฎที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการอัตโนมัติ และผลรวมในการกระทําของดวงวิญญาณทั้งหมดก็จะเป็นตัวกําหนดสภาวะของโลกนี้ด้วยเช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่า พลังของดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลกนี้จะเป็นตัวกำหนดและส่งผลให้เกิดสภาวะแวดล้อมต่างๆขึ้นบนโลกนี้ตามกระแสของพลังดวงวิญญาณมนุษย์ที่ขึ้นและลงตามห้วงของเวลาที่เคลื่อนหมุนไปในวงจรโลก ซึ่งพระเจ้าไม่ได้มีส่วนทําให้สภาวะแวดล้อมของโลกเดินทางเข้าสู่กลียุคแต่อย่างใด!  แต่เกิดเพราะผลรวมของพลังความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดเป็นสิ่งกำหนด… 

Screen Shot 2556-11-30 at 2.21.09 PM

สภาวะรวมของพลังดวงวิญญาณมนุษย์ที่สูงส่งและตกต่ำ สัมพันธ์กับการหมุนวนของวงจรโลก


ความหมายของสิ่งสร้างอันสูงส่ง 3 ประการ โดยพระเจ้า

หน้าที่สามประการของพระเจ้าชีว่าที่ซ้อนกันอยู่หมายถึง

          การสร้าง(ความจริงแล้ว คือการทําให้ของเก่านั้นกลับมาใหม่อีกครั้ง) ท่านมาจัดระเบียบให้โลกกลับมาใหม่สูงส่งอีกครั้ง การสร้างไม่ได้หมายความว่าก่อสร้างบางอย่างขึ้นมาจากการที่ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย แต่หมายความถึงการปรับปรุงศีลธรรมนํามวลมนุษย์ให้กลับมามีความสุขอีกครั้ง โดยการที่ท่านมายกระดับสติปัญญาของมนุษย์ให้สูงส่ง ด้วยน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นการสร้างสวรรค์บนโลกใบเก่านี้อีกครั้งหนึ่ง การบำรุงรักษาโลก คือการหล่อเลี้ยงบํารุงรักษาโลกที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยผ่านมนุษย์ผู้สูงส่ง(เทพ) การทําลายล้างโลกเก่า คือภารกิจของพระเจ้าประการสุดท้าย เป็นการชําระดวงวิญญาณมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เมื่อถึงเวลาที่โลกได้จมลงสู่ก้นบึ้งของสภาวะที่ไร้ศีลธรรม พระเจ้าก็จะมาก่อสร้างโลกที่ถูกต้องชอบธรรมขึ้นและทําลายล้างโลกที่ไร้ศีลธรรม เพราะเป็นด้วยความเมตตาของท่านที่ไม่อาจทนเห็นลูกๆดวงวิญญาณต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนรกยุคเหล็กได้อีกต่อไป บทบาทของพระเจ้าคือ การทําให้โลกนรกยุคเหล็กจบสิ้นลงและนํายุคทองกลับมาสู่ลูกๆอีกครั้ง นี่คือ การกระทําที่สูงส่ง 3 ประการของพระเจ้าที่เรียกว่า “ตรีมรูติ”

ไม่มีสิ่งใดๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแล้วจะคงทนถาวรได้     

          สิ่งใดที่ถูกสร้างขึ้นมาล้วนต้องถูกทําลาย! ดั่งเช่น เมล็ดพืชที่ถูกหว่านลงไปบนท้องทุ่ง เมล็ดนั้นก็จะงอกงามเติบโตและในที่สุดก็ไปสู่จุดจบ…ถูกเก็บเกี่ยวกลายเป็นธัญญาหาร หรือแม้แต่ในสิ่งที่มนุษย์ได้วางแผนและทําตามแผนที่ได้วางไว้ เมื่อทําเสร็จแล้ว สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็ค่อยๆ ถูกทําลายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็น ตึกรามบ้านช่อง อาคาร เขื่อน พิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถาน ฯลฯ ต่างถูกออกแบบ สร้าง แล้วก็ถูกทําลายตามกาลเวลา ดังนั้น การทํางานของพลังทั้งสามของ การสร้าง การบํารุงรักษาและการทําลายล้าง เป็นหนทางที่ดำเนินไปด้วยตัวของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองใดๆที่จะคงอยู่อย่างถาวรดังเดิมได้ตลอดไป ทุกสิ่งสร้างล้วนต้องผ่านสภาวะทั้งสามนี้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรและประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ ทั้งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในอดีตของกรีกและโรมัน ตลอดจนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในปัจจุบันของโลกตะวันตก คือ อังกฤษและอเมริกา ฯลฯ ต่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนนี้ทั้งสิ้น

เวลาแห่งการกระทําที่สูงส่งของพระเจ้า 3 ประการ

Screen Shot 2556-11-24 at 2.15.07 PM

               พระเจ้าชีว่าท่านเป็นเมล็ดของมนุษย์ชาติผู้ซึ่งมีหน้าที่ที่สูงส่ง 3 ประการ ในการสร้าง การบํารุงรักษาและการทําลายล้างในตอนจบของละครโลกในทุกๆกัลป ซึ่งเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบธรรม ไม่มีศาสนาและไม่มีความสงบถึงขีดสุดมาถึง ท่านแสดงการกระทําหน้าที่ที่สูงส่งสามประการโดยผ่านเทพละเอียดที่สูงส่ง 3 องค์ คือ บราห์มา วิษณุ และ ชางก้า ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกเรียกว่า ตรีมูรติชีว่า หรือ ผู้สร้างเทพละเอียดทั้งสาม พระเจ้าสร้างระเบียบของโลกใหม่โดยผ่านบราห์มา ทําลายล้างวิถีทางของโลกเก่าโดยผ่านชางก้า และบํารุงดูแลและรักษาโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยผ่านวิษณุ ซึ่งเทพทั้งสามจะสามารถเห็นได้โดยผ่านนิมิตที่สูงส่งโดยการฝึกฝนเป็นราชโยคี

บทบาทของบราห์มา (พรหมมา-พระพรหม ตามคำเรียกทางไทย)

               คือการถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้าและสอนราชโยคะให้กับมนุษย์ พระเจ้าชีว่าจึงลงมายังโลกมนุษย์จากที่อยู่สูงสุด(โลกวิญญาณ หรือ พารามธรรม) ท่านเป็นจุดแสงที่ปราศจากร่างและท่านเองไม่มีร่างเป็นของตน ท่านจึงอวตารลงมาใช้ร่างของมนุษย์เพื่อใช้อวัยวะพูดสื่อสารถ่ายทอดความรู้ที่สูงส่งของท่าน การเกิดหรืออวตารของท่านนั้นไม่ได้เกิดดั่งเช่นเด็กทารกในครรภ์เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ท่านไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมที่มีวงจรของการเกิดและตาย ท่านอยู่เหนือขบวนการเกิดและการตาย ท่านอวตารลงมาในร่างของชายผู้อาวุโสมีประสบการณ์ และเป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นเครื่องมือสื่อสารถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้า

Screen Shot 2556-11-24 at 2.24.53 PM

            พระเจ้าชีว่าได้ให้ชื่อที่สูงส่งกับผู้ที่ท่านลงมาใช้ร่างว่า “ประชาปิตา บราห์มา” ร่างของประชาปิตา บราห์มา จึงมีสองดวงวิญญาณสถิตอยู่ในร่าง ดวงวิญญาณหนึ่งเป็นของบราห์มาเองและอีกดวงวิญญาณหนึ่งเป็นของดวงวิญญาณสูงสุดที่เข้าๆออกๆร่างนี้ นี่เป็นวิธีการที่พระเจ้าพ่อชีว่าได้ลงมาจากโลกวิญญาณที่ปราศจากร่างและมาสู่โลกที่มีตัวตน การลงมาที่แสนจะพิเศษสู่ร่างมนุษย์โดยพระเจ้าชีว่านี้ เรียกว่า การอวตาร (การเกิดที่สูงส่ง) ซึ่งแตกต่างจากการเกิดของดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง และจากเหตุการณ์นี้เองจึงได้มีการเฉลิมฉลองในประเทศอินเดียทุกปี นั่นคือเทศกาล “ชีพราตรี” เพื่อเป็นการระลึกถึงการลงมาของพระเจ้าชีว่า ที่ท่านมาจบสิ้นกลางคืนของความไม่รู้ และลงมาทําลายกิเลสทั้งห้า

Screen Shot 2556-11-24 at 2.26.22 PM

บราห์มา เป็นผู้สร้างให้เกิด บราห์มิน

Screen Shot 2556-11-24 at 2.28.46 PM

                  บราห์มา (ท่านประชาปิตา บราห์มา) เป็นสิ่งสร้างอันสูงส่งประการแรกของพระเจ้า เพื่อใช้ท่านเป็นเครื่องมือในการสอนและถ่ายทอดความรู้สู่มวลมนุษยชาติในยุคบรรจบพบกันนี้ การสอนตลอดจนการดำเนินการต่างๆ ตลอดจนการสร้างสถาบันความรู้(มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก)เพื่อให้มวลมนุษย์กลับมามีสำนึกรู้ว่าตนเป็นดวงวิญญาณเพื่อทำให้ดวงตาที่สามถูกเปิดขึ้นและได้กลับมารู้จักพ่อสูงสุดดวงวิญญาณสูงสุด รวมทั้งมาให้ความรู้ราชโยคะ นั้นถือว่าเป็นการสร้างโดยผ่านปากของ บราห์มา และมนุษย์ผู้ใดที่เข้ามารับความรู้ทำให้ดวงตาที่สามถูกเปิดออก ได้กลับมาพบกับพระเจ้าอีกครั้ง และหันมาปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์ดั่งเช่น ท่านบราห์มา ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า “บราห์มิน”

Screen Shot 2556-11-30 at 2.19.15 PM

               บราห์มา จึงเป็นผู้ให้กำเนิด “บราห์มิน” ท่านสร้างบราห์มินโดยการใช้ปากเปล่งวาจาอันเป็นความรู้สูงส่งของพระเจ้า ความรู้ที่เป็นน้ำทิพย์มาชโลมล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ใสสะอาดอีกครั้ง จะมีผู้ใดที่สามารถจะให้กำเนิดบุตรของพระเจ้าด้วยปากที่เปล่งวาจาได้บ้าง ดังนั้น “บราห์มิน” จึงเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าผู้ปราศจากร่างโดยผ่านเครื่องมือของท่านคือ “บราห์มา” ผู้ที่มีร่างกายหยาบในการปฏิบัติหน้าที่แทนพระเจ้าในภารกิจสร้างโลกใหม่อันสูงส่งอีกครั้ง ผู้ที่เป็นบราห์มินถูกเรียกขานว่า เป็น ผู้ที่เกิดสองครั้ง (Dwija) เพราะเป็นผู้ที่ตายไปแล้ว (สละละทิ้งชีวิตเก่าที่ตกต่ำไปสู่ชีวิตใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์) ขณะที่ยังมีชีวิต อยู่บนโลกนี้ ดังนั้น บราห์มินที่แท้จริง จึงมีพ่อสามคน คือ พ่อคนแรกผู้ให้กำเนิดทางร่างกาย พ่อที่สองคือ ท่านประชาปิตาบราห์มา ผู้ให้ความรู้ของพระเจ้าจนทำให้เกิดปัญญาตื่นรู้ขึ้นอีกครั้ง และพ่อที่สามก็คือ พระเจ้าชีว่า พ่อสูงสุดผู้ปราศจากร่าง พ่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งท่านเป็นทั้งผู้สร้าง เป็นผู้กำกับและเป็นผู้เล่นละครโลกที่สูงที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้ละครโลกดำเนินไปสู่ภารกิจเปลี่ยนโลกนรกไปสู่โลกสวรรค์อีกครั้งโดยผ่านเครื่องมือต่างๆ ของท่าน

Screen Shot 2556-11-24 at 2.34.35 PM

 

บทบาทของวิษณุ

Screen Shot 2556-11-24 at 2.36.23 PM
               ความรู้ทางโลกทั่วไป แสดงภาพของเทพวิษณุว่าเป็นเทพผู้มี 4 แขน มีอิทธิฤทธิ์มากมายเพื่อเอาไว้บูชากราบไหว้ขอพรและร้องขอสิ่งที่ตนเองปรารถนาต่างๆ จากเทพวิษณุ แต่ความหมายที่แท้จริงของวิษณุนั้น คือรูปรวมของเทพศรีลักษมีและศรีนารายัญ เทพชายและหญิงผู้ที่เป็นจักรพรรดิณีและจักรพรรดิ์คู่แรกที่ได้ปกครองร่วมกันในยุคทอง เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันด้วยความรักและกฎระเบียบที่สูงส่ง ทั้งคู่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ไร้ซึ่งความรุนแรงโดยสิ้นเชิง เปี่ยมด้วยคุณธรรมและเป็นตัวแทนของเทพที่มีร่างกายอันสูงส่ง ศรีลักษมีและศรีนารายัญเป็นผู้ปกครองสวรรค์คู่แรก ผู้ที่มีมงกุฎสองชั้น นั่นคือ มงกุฎของแสงหรือรัศมีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์มีใจเมตตากรุณา และมงกุฎทองคําซึ่งประดับด้วยเพชรพลอยซึ่งสัญลักษณ์ของอํานาจ คือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองตนเอง นี่คือภาพลักษณ์อันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ที่จะปรากฏให้เห็นได้บนโลกใบนี้

Screen Shot 2556-11-24 at 2.38.32 PM

                 ดังนั้น ภาพวิษณุผู้มี 4 แขน จึงหมายถึง สภาวะแห่งความเป็นเทพที่สะอาดบริสุทธิ์สูงส่งของทั้งชายและหญิง เป็นสภาวะที่ละเอียดอ่อนของผู้ปฏิบัติราชโยคะจะต้องก้าวไปให้ถึง เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงนัยยะสำคัญถึงการดำรงตนของบราห์มินผู้ที่อยู่บนหนทางของครอบครัว ที่ไม่จำเป็นต้องละทิ้งครอบครัวหนีหายไป แต่สามารถดำรงตนอยู่ในหนทางแห่งปัญญาบนความรู้อันสูงส่งของพระเจ้า ก็สามารถจะอยู่ได้อย่างบริสุทธิ์สูงส่งในโลกนรกที่ตกต่ำนี้ได้ เพราะคำว่า “วิษณุ” มีความหมายถึง ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์
วิษณุผู้มีสัญลักษณ์ของเครื่องประดับสี่อย่าง

มือทั้งสี่วิษณุ ถือเครื่องประดับสี่อย่างไว้เป็นอาวุธประจำกาย คือ สังข์ จักร คทา และดอกบัว

          สังข์ เป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้า ผ่านออกมาทางคำพูดโดยใช้ปากและเสียงของตนในการขจรขจายความรู้ให้กับมวลมนุษยชาติ

          จักร หรือ จักรา เป็นสัญลักษณ์แห่งการไตร่ตรองความรู้ของพระเจ้าอยู่เสมอ เรื่องความรู้ทางดวงวิญญาณ ความรู้เรื่องวงจรของโลก กฎแห่งการกระทำ ฯลฯ เพื่อพิจารณา ไตร่ตรอง  ขัดเกลาและเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่

          คทา เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ คทาเปรียบดั่งอาวุธที่เอาไว้ต่อสู้กับกิเลสมายาภายในตนอย่างไม่ยอมย่อท้อ  วิษณุจึงเป็นเช่นนักรบที่จะต้องรบเพื่อให้มีชัยชนะเหนือกิเลสทั้งห้า ทั้งในความคิด,คําพูดและการกระทําของตนอยู่ตลอดเวลา

          ดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ในวิถีชีวิตครอบครัว แม้จะอยู่ในครอบครัวทางโลกที่แวดล้อมไปด้วยกิเลส แต่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างบริสุทธิ์(พรหมจรรย์)และอยู่ได้อย่างละวาง เหมือนดั่งเช่น ดอกบัว ที่แม้จะเกิดและอยู่ท่ามกลางโคลนตม แต่ดอกบัวก็ยังสวยงามสะอาดและบริสุทธิ์ จนแม้อณูของน้ำสกปรกที่อยู่โดยรอบก็มิอาจจะซึมแทรกเข้าไปในดอกหรือใบบัวได้

 

Screen Shot 2556-11-24 at 2.40.30 PM

วิษณุ คือเป้าหมายของราชโยคะ

                 วิษณุผู้มี 4 แขน จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์สูงสุด และเป็นจุดประสงค์และเป้าหมายของการฝึกฝนราชโยคะด้วย วิษณุเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้ปกครองตนเอง และปกครองอาณาประชาราษฎร์ ผู้ที่ปกครองตนเองได้เสียก่อนจึงจะไปปกครองอาณาจักรได้ วิษณุคือผู้ซึ่งได้รับการชําระให้บริสุทธิ์และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมที่จะก้าวไปสู่ยุคทอง วิษณุคือผู้ซึ่งจะบํารุงรักษาโลกสัตยุคที่บริสุทธิ์และใหม่(ยุคทอง) พระเจ้าชีว่ากล่าวว่า สถานภาพสูงที่สุดที่มนุษย์จะได้รับจากท่านด้วยการศึกษาราชโยคะ นั่นคือการได้เป็นเทพเช่นศรีลักษมีและศรีนารายัญ(วิษณุ)ซึ่งมีมงกุฎสองชั้น ท่านกระตุ้นมวลมนุษย์ให้เอาแบบอย่างเช่นวิษณุ คือเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติแห่งเครื่องประดับทั้งสี่และนำมาใช้ในชีวิตจริงให้ได้ ผู้ใดที่สามารถทําตามได้ก็จะได้รับสถานภาพเทพ นั่นคือ สภาวะที่สูงส่งสมบูรณ์พร้อมและมั่นคงเต็มไปด้วยความสุขในโลกใหม่(สวรรค์)

 

บทบาทของชางก้า (ผู้จุดไฟทำลายล้างโลกเก่า)

เมื่อโลกใหม่ยุคทองกำลังถูกก่อตั้งขึ้น ดังนั้นโลกเก่ายุคเหล็กก็จะต้องถูกทําลาย การทําลายล้างโลกเก่ายุคเหล็กซึ่งเป็นโลกนรกของกิเลสนั้นเป็นสิ่งจําเป็น มิฉะนั้นแล้วความสงบและความสุขที่สมบูรณ์ก็ไม่สามารถจะกลับมาสู่โลกนี้ได้ ความดีและความชั่วร้ายไม่สามารถจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ชางก้าเป็นสัญลักษณ์ของการทําลายล้างสิ่งเก่าที่สกปรกทั้งหมด เป็นผู้มาทําลายความเลวและความชั่วร้ายให้จบสิ้นเมื่อกิเลสทั้งห้าเพิ่มทวีขึ้นจนเกินจะเยียวยา ทุกๆชาติในโลกต่างขัดแย้งแย่งชิง ทะเลาะวิวาทเพราะผลประโยชน์ กลุ่มมหาอํานาจของโลกต่างซ่องสุมสะสมอาวุธร้ายแรงจำนวนมากมายในคลังแสง ด้วยความเหิมเกริมจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ อาวุธจึงถูกคิดค้นขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพทําลายล้างอย่างเบ็ดเสร็จและกว้างไกล นั่นคือระเบิดนิวเคลียร์ติดหัวรบที่ทรงอานุภาพที่สามารถยิงข้ามทวีป มันจะถูกนำมาใช้ในสงครามทําลายล้างครั้งสุดท้าย โลกที่ตกต่ำนี้กําลังมาถึงจุดจบ!

Screen Shot 2556-11-24 at 2.43.18 PM

              มีภาพเขียนและคำกล่าวว่า “เมื่อเทพชางก้าเปิดตาขึ้นเมื่อใดการทำลายล้างก็จะเกิดขึ้น” ภาพนั้นแสดงให้เห็นว่าเทพชางก้าเป็นผู้ที่ปราศจากร่างเป็นผู้บำเพ็ญตบะเข้มข้น นั่งสงบนิ่งท่ามกลางกิเลสทั้งห้าซึ่งก็คืองูพิษที่ม้วนตัวอยู่รอบคอ พร้อมด้วยมีดวงตาที่สามคือดวงตาของความสมบูรณ์พร้อม พระเจ้าชีว่า กล่าวว่า “เมื่อใดที่ลูกๆผู้มีโยคะที่เข้มข้นของพลังความคิดในการเปลี่ยนแปลงโลก สมบูรณ์พร้อมในสภาวะแห่งความคิด เมื่อนั้นวัตถุธาตุจะเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เป็นการร่ายรำของความหายนะทางธรรมชาติ เมื่อนั้นลูกจะต้องหนักแน่นมั่นคง ชาวโลกจะอยู่ในความตื่นตระหนกเพราะดวงวิญญาณมนุษย์ไม่สามารถทำให้โลกสะอาดได้ สายลม แผ่นดิน มหาสมุทรและเปลวไฟจะทำให้โลกสะอาดด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เมื่อลูกสร้างสภาวะสมบูรณ์พร้อมผ่านการมีโยคะที่เข้มข้นได้ เมื่อนั้นก็จะมีการเปิดเผย”

การทําลายล้างโลกกิเลส

              มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งระหว่างดวงวิญญาณของบราห์มาและห้วงเวลา บราห์มาและยุคแห่งการบรรจบพบกันนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้าไม่มีบทบาทของบราห์มาก็จะไม่มียุคแห่งการบรรจบพบกันได้ บราห์มาเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการสร้างบราห์มินขึ้น โดยมาให้ความรู้ของพระเจ้าและเป็นผู้ชี้บอกเวลาที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อบทบาทของบราห์มาที่มาใช้ร่างจบสิ้นลง บทบาทของบราห์มินทั่วโลกที่ถูกสร้างขึ้นก็จะเริ่มต้นนำเวลาแห่งการทำลายล้างเข้ามาใกล้ ด้วยการฝึกฝนพากเพียรตนเองไปสู่สภาวะที่บริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อม

             พระเจ้าชีว่า กล่าวว่า “ ผู้ที่จะบันดาลให้เกิดการทำลายล้างโลกยุคเหล็กก็คือ ลูกๆดวงวิญญาณผู้ก่อตั้ง ดังนั้นลูกจะต้องทำความเพียรเพื่อที่จะกลับไปยังโลกที่ปราศจากร่างและนำทุกคนไปกับลูก ด้วยสำนึกนี้ลูกจะต้องเป็นผู้ที่อยู่เหนือความสัมพันธ์ทั้งหมด และอยู่เหนือการดึงดูดของวัตถุธาตุทั้งมวล ลูกต้องทำลายความชั่วร้ายภายในตน ความคิดที่ไร้ประโยชน์ของตน การกระทำและความประพฤติที่เป็นลบของลูก จงอย่าได้ให้ที่พักพิงแก่พวกมัน จงเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ละวาง ถ้าในที่ชุมนุมทางดวงวิญญาณนี้แต่ละคนสามารถพัฒนาไปถึงระดับที่ไร้ร่างได้ เปลวไฟแห่งการทำลายล้างก็จะกระพือไปทุกสารทิศ เพราะด้วยไฟแห่งโยคะจะทำให้เปลวไฟแห่งการทำลายล้างถูกจุดขึ้นมา มันคือไฟแห่งการทำลายล้างและคือไฟแห่งโยคะ นัยยะสำคัญก็คือ ไฟหนึ่งถูกจุดขึ้นมาจากอีกไฟหนึ่ง ”

Screen Shot 2556-11-24 at 2.46.15 PM

             พ่อชีว่าเป็นผู้ซึ่งสร้างไฟบูชายัญโดยผ่านลูกๆบราห์มิน! เมื่อไฟโยคะได้ถูกจุดขึ้นเพื่องานของการก่อตั้ง ในเวลาเดียวกันเปลวไฟแห่งการทำลายล้างก็จะถูกจุดขึ้นเช่นกัน ความจริงแล้วพระเจ้าได้สร้างบราห์มินขึ้นมาพร้อมกับจุดเปลวไฟแห่งการทำลายล้างขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมบราห์มินผู้เป็นไฟที่ถูกจุดจะต้องกลับมาสมบูรณ์พร้อม ก็เพื่อที่จะกลายมาเป็นรูปของไฟเหมือนกับชางก้า นั่นคือการอยู่ในสมาธิโยคะที่เข้มข้น ไฟแห่งการทำลายล้างจะเป็นไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อให้ไฟนี้รุนแรงอย่างที่สุด จึงจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเหล่าดวงวิญญาณผู้เป็นเครื่องมือนี้ ด้วยพลังแห่งความคิด! ให้ตระหนักรู้เสมอว่าการให้ประโยชน์กับโลกนั้นเกี่ยวเนื่องกับทุกๆความคิดของเหล่าบราห์มิน บัดนี้…จงกลายมาเป็นรูปแห่งไฟและสร้างความคิดซึ่งจะทำให้ไฟแห่งการทำลายล้างรุนแรงขึ้น แล้วโลกแห่งความทุกข์โศกนี้จะเปลี่ยนแปลงโดยผ่านการเปลี่ยนแปลงตนเองของบราห์มินเท่านั้น      ฉะนั้นคำกล่าวว่า “เมื่อใดที่ชางก้าเปิดตาขึ้นเมื่อนั้นก็จะมีการทำลายล้างอย่างฉับพลัน” นี่เป็นคำกล่าวที่มีนัยยะสำคัญซ่อนอยู่ “ชางก้า” จึงไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แห่งเทพผู้มีไว้เพื่อทำการสักการบูชาขอพรแต่อย่างใด แต่เป็นสภาวะของเทพที่ละเอียดอ่อนแต่ทรงพลังสูงสุด ด้วยผ่านการฝึกฝนการปฏิบัติราชโยคะอย่างบริสุทธิ์เข้มข้น และด้วยพลังโยคะที่บริสุทธิ์เข้มข้นนี้ได้แผ่กระจายออกไปสู่บรรยากาศและเป็นหนึ่งเดียวกับพลังโยคะของบราห์มินทั่วทั้งโลก เมื่อนั้นการทำลายล้างโลกเก่าในช่วงยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้ก็จะใกล้เข้ามาทุกขณะ

             พระเจ้าชีว่าได้เปิดเผยว่า เมื่อลูกเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่พลัง ก็จะมีผลให้ละครโลกเคลื่อนไปด้วยเช่นกัน ความหายนะอันใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ ชาติที่มีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์จะเป็นคนเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สาม ซึ่งนำมาซึ่งการทําลายล้างอย่างสิ้นเชิง เวลานี้มนุษย์ต่างเห็นถึงสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นทั่วทั้งโลก รวมทั้งความหายนะทางธรรมชาติ เช่น พายุถล่ม น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด โรคภัยไข้เจ็บและความอดอยากยากแค้น ฯลฯ สิ่งทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ที่ผ่านมาทั้งสิ้น จะมีความโกลาหลและตื่นตระหนกไปทั่วโลก ผู้คนจะล้มเจ็บ โรงพยาบาลจะขาดแคลน เครื่องอํานวยความสะดวกและสิ่งทั้งหลายที่มาปรนเปรอความสุขจะถูกทําลาย ธาตุของธรรมชาติกำลังบ้าคลั่งและต่อต้านมนุษย์อย่างรุนแรง ดังนั้น สิ่งสําคัญที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของมนุษย์ได้ก็คือ การมีโยคะกับพระเจ้าชีว่าด้วยความรักอย่างเป็นธรรมชาติและด้วยวิธีง่ายๆ เพียงเท่านั้นที่จะทำให้คลายทุกข์ ผู้ซึ่งฝึกฝนราชโยคะกับพ่อสูงสุดจะสามารถเผชิญกับสถานการณ์อย่างปราศจากความกลัวและด้วยความแข็งแกร่ง ผู้คนทั่วไปจะเห็นฉากแห่งความหายนะแต่สำหรับผู้ที่ฝึกราชโยคะจะเห็นโลกยุคใหม่ซึ่งเป็นสวรรค์กำลังมา

Screen Shot 2556-11-24 at 2.48.03 PM

              การทําลายล้างนี้มิใช่ความโหดร้ายแต่เป็นประโยชน์ในรูปแบบที่ซ่อนเร้น ก็เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณจากทุกขเวทนาและความทุกข์ทรมานของโลกเก่ายุคเหล็ก การทําลายล้างนี้เป็นการชําระล้าง เป็นการทําความสะอาดด้วยฉากละครของสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกครั้งสุดท้าย นั่นจะเป็นการปลดปล่อยดวงวิญญาณมนุษย์ทั้งหมดบนโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกดวงวิญญาณจะได้กลับบ้านไปยังดินแดนดั้งเดิมแห่งความสงบ พารามธรรมของพวกเราเพื่อพักผ่อน! แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปได้ก็จะต้องถูกชําระบาปให้บริสุทธิ์เสียก่อนผ่านการลงโทษโดยธรรมราช หากโลกยุคเหล็กยังคงดําเนินต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่ามวลมนุษย์จะได้รับความทุกข์เวทนาอีกมากมายสักเพียงใด? แต่การทําลายล้างนี้ไม่ใช่เป็นการกระทําโดยตรงของพระเจ้า การกระทําโดยตรงของพระเจ้านั้นคือการมาสร้างขบวนการการทําลายล้างให้เกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติ ผ่านการกระทำอันสูงส่งทั้ง 3 (ตรีมูรติ) ท่านจะมา ปลดปล่อยให้ดวงวิญญาณทั้งหมดหลุดจากความทุกข์ทรมาน ภายหลังที่ความรุนแรงบนโลกได้เพิ่มทวีขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์แล้วเท่านั้น เมื่อโลกเก่าถูกทำลายลงแล้ว และละครโลกกัลปใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ดวงวิญญาณเพียงน้อยนิดซึ่งเป็นเครื่องมือของพระเจ้าที่พากเพียรพยายามฝึกฝนราชโยคะในเวลานี้ ก็จะลงมาจากพารามธรรมมารับผลรางวัลด้วยการกลายเป็นเทพที่สูงส่งในยุคทอง แล้วกัลปใหม่ก็เริ่มต้นอีกครั้ง