นิมิตการทำลายล้างโลกเก่าและการสร้างโลกแห่งอนาคต
ถึงเพื่อนๆ ดวงวิญญาณ
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ในชีวิตของเราจะได้รับโอกาสค้นพบกับความลับอันเป็นสัจจะที่แท้จริง ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้คือถ้อยแถลงเกี่ยวกับอนาคตของโลกที่ได้รวบรวมไว้ ซึ่งเป็นการตอบคำถามที่สำคัญว่า เราคือใครและเรากำลังจะไป ณ ที่ใดหลังจากจบสิ้นโลกเก่านี้ เนื้อหาความรู้นี้ครอบคลุมถึงเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ใจ อาทิเช่น อนาคตของวิทยาศาสตร์ที่พาโลกสู่ความล่มสลายในสงครามโลกครั้งที่สาม เรื่องการสถาปนาก่อตั้งสวรรค์ภายหลังการล่มสลาย และวิธีการที่จะสร้างสภาวะจิตของคุณเพื่อให้คุณสามารถที่จะผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้ไปได้
หนังสือเล่มนี้ครอบคลุมความรู้ทั้งหมดที่มาจากพระเจ้าหรือดวงวิญญาณสูงสุด กว่า 75 ปีผ่านมาแล้ว บราห์มากุมารีเรียกขานท่านว่า ดวงวิญญาณสูงสุดผู้ไร้ร่าง ชีว่าพ่อสูงสุด (Shiva) ผู้มาให้ความรู้ผ่านเครื่องมือของท่านคือ ประชาปิตา บราห์มา ท่านได้พูดความรู้นี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936
การเปิดเผยฉากสุดท้ายของโลก
1. ลูกคือผู้ที่จะเปิดเผยหนทางที่ถูกต้องให้กับทุกคน ให้ทุกคนได้รับความรู้ถึงหนทางที่จะคิดถึงและระลึกถึงพ่อสูงสุดดวงวิญญาณสูงสุด(Supreme Soul)ด้วยวิธีเช่นไร บางคนอาจได้รับสารนี้โดยผ่านทางคำพูด บางคนได้รับผ่านรูปภาพ ผ่านข่าวสารจากสื่อต่างๆ บางคนได้รับผ่านแรงสั่นสะเทือนจากกระแสอันทรงอำนาจของลูก บางคนได้รับผ่านความตื่นตระหนกโกลาหลครั้งสุดท้ายของการทำลายล้างและบางคนก็ได้รับผ่านความรู้สึกสิ้นเยื่อใยไร้ความห่วงหาอาทร เทคโนโลยีในโลกที่มีจะช่วยเติมเต็มให้กับงานของลูกในการเผยแผ่สารจากพ่อ ยุคแห่งการบรรจบพบกัน (the Confluence Age) วัตถุธาตุทั้งหมดจะเริ่มฉากแห่งความร่วมมือต่อกัน วัตถุธาตุจะต้อนรับเจ้าแห่งวัตถุ(Lord of matter) และถวายตัวรับใช้ต่อนายแห่งวัตถุทุกทิศทุกทาง ซึ่งก็คือลูกนั่นเอง
2. นานมาแล้ว ที่ลูกได้ทำงานช่วยพ่อด้วยร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมต่างๆ พิมพ์บัตรเชิญและเชื้อเชิญผู้ที่มีชื่อเสียง สื่อสารมวลชนต่างๆก็ได้ให้ความร่วมมือกับลูก ไม่ว่าลูกจะใช้เงินลงทุนเพื่อภารกิจต่างๆไปมากเท่าใด อนาคตของลูกก็คือผู้ที่จะได้รับการยกย่องในฐานะผู้มีชื่อเสียง ซึ่งจะไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าลูก ผู้คนจะเรียกร้องให้ลูกขึ้นไปยังเวทีปราศรัยของพวกเขาพร้อมทั้งเสนอตัวที่จะช่วยลูกด้วยร่างกาย จิตใจหรือแม้แต่ทรัพย์สิน ผู้คนจะร้องขอให้ลูกนำสารแห่งความสงบมาสู่พวกเขา และเมื่อถึงเวลานั้นเสียงของการเปิดเผยก็จะถูกเปล่งออกมาให้ทุกคนได้ยิน นำผู้คนไปหาพ่อสูงสุด(Supreme Father)โดยผ่านลูก มันจะใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการดึงความสนใจของทุกคนมาหาพ่อ และเสียงแตรแห่งชัยชนะก็จะดังกังวานไปทุกทิศทางและจะทำให้การเปิดเผยนั้นสัมฤทธิ์ผล ความลับที่ละเอียดอ่อนนี้(subtle secret)ได้ถูกกำหนดไว้แล้วใน ละครโลก(world drama) หลังการเปิดเผยดวงวิญญาณมากมายจะสำนึกผิดจากบาปที่ได้กระทำไว้ ในยามนั้นพ่อไม่สามารถทนดูการสำนึกผิดของลูกๆ ทั้งหลายได้ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงโลกยุคเหล็กนี้จึงต้องรีบสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อไปสู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่า ณ เวลานั้นด้วยจิตสำนึกอันสูงส่งของลูกจะถูกนำไปเพื่องานช่วยเหลือ ลูกจะเล่นบทบาทแห่งชัยชนะอย่างไม่มีขีดจำกัดบนเวทีของโลกนี้
3. ในไม่ช้านี้ เสียงกลองแห่งการเปิดเผยจะถูกตีให้ดังได้ยินไปทั่วทั้งโลก เสียงจะดังกังวานว่า “เราได้พบแล้ว!” “ท่านได้มาแล้ว!” ด้วยผ่านสำนึกของลูก จงทำงานรับใช้ช่วยเหลือเพื่อเปลี่ยนแปลงสำนึกของมวลมนุษย์ตลอดทั้งวัน และฉากต่างๆ ที่พ่อได้เปิดเผยไว้ก็จะปรากฏเบื้องหน้าของลูก รูปละเอียดอ่อนของงานช่วยเหลือ(subtle form of service) จะทำให้ผู้คนสามารถอยู่เหนือความอ่อนแอของตนได้โดยอัตโนมัติ เมื่อใดที่ลูกทุ่มเทให้กับงานรับใช้ของพ่ออย่างไม่ว่างเว้น ยามนั้นบรรยากาศของโลกจะถูกเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน ความอ่อนแอของผู้คนบนโลกจะปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะชี้ให้พวกเขาเห็นสิ่งอ่อนแอนั้น ความละอายในความอ่อนแอจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเขาเอง วิธีการเช่นนี้จะทำให้ผู้คนทั้งหลายบรรลุถึงความสำเร็จได้
4. มีบทเพลงที่ร้องว่า “ท่ามกลางเปลวไฟที่โหมอยู่รอบด้าน แต่ลูกแมวน้อยกลับปลอดภัย” นั่นไม่ใช่เป็นเพียงบทเพลงเท่านั้น ลูกๆ โยคีก็เช่นกันจะไม่มีภัยอันตรายใดๆ น้ำจะท่วม แต่บ้านที่พ่อเอาไว้ใช้งานจะปลอดภัยด้วยเงื่อนไขที่ลูกต้องไม่กระทำความผิดอันใด บัดนี้หากมีการสูญเสียหรือเกิดความเสียหายใดๆ แน่นอนมันจะต้องเกิดจากผลของการกระทำที่อ่อนแอเนื่องจากสติปัญญาของลูก แต่สำหรับผู้มีสติปัญญาที่เข้มแข็งจะประสบผลสำเร็จด้วยอำนาจทั้งหมดแห่งพร สถานที่ใดก็ตามที่มีความทุกข์ยากเกิดขึ้นก็จะเป็นเพียงแต่มีสิ่งรบกวนเล็กน้อย หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาจะได้รับความคุ้มครองไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรหากลูกได้เพิ่มพูนอำนาจต่างๆ อำนาจนั้นจะทำให้ธรรมชาติยอมจำนนต่อลูก นั่นหมายความว่าอะไรก็ตามที่ลูกต้องการก็จะได้มาดั่งใจปรารถนาแน่นอน
5. เวลาสำหรับการเปิดเผยกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ ใครจะได้เป็นพระราชา เป็นประชาราษฎร์ ใครจะได้รับสถานภาพที่ต่ำกว่า จะเป็นคนรับใช้ ทั้งหมดจะปรากฏให้เห็นในเวลาสุดท้าย ฉากเหล่านั้นจะสร้างความตื่นตะลึง! ผู้ที่มาใหม่จะวิ่งแซงหน้าในการแข่งขัน และผู้ที่เหนื่อยล้าหรือยอมแพ้ก็จะถูกเปิดเผยเช่นกัน
6. สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ลูกจะสรรหามาเพิ่มมากขึ้นได้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนที่จะมากันมากมายที่มธุบัน ฝูงชนจะมารวมกันที่นี่เหมือนกับที่เคยไปรวมกันที่อนุสรณ์สถานบนหนทางของการบูชากราบไหว้ จำนวนของผู้คนจะเพิ่มมากขึ้นเท่าที่ลูกสามารถจะสร้างที่พักอาศัยได้ ลูกได้รับพรนี้เรียบร้อยแล้ว; มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า ผู้คนจะมาที่นี่มีแถวยาวไกลดังเช่นมหาสมุทร แต่มีแผ่นดินรองรับได้ไม่เพียงพอ จะมีแถวยาวจากสถานีรถไฟ อาบู โรด (Abu road) จนถึงยอดภูเขาอาบู (18 ไมล์) และเมื่อนั้นจะมีการเปิดเผยท่ามกลางความตระหนกและตื่นกลัวของผู้คนว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ในขณะนี้แม้ลูกจะจัดให้มีการชุมนุมใหญ่ๆ แล้วก็ตาม แต่ในเวลานั้นจะมีกลุ่มของผู้บูชากราบไหว้จะเข้ามาร่วมด้วย ลูกจะได้เห็นว่าฝูงชนนั้นมากันมากมายเพียงใด ลูกจงเตรียมการสำหรับสิ่งนี้ จะมีการชุมนุมกันทั้งของประชาชนในยุคทองและผู้บูชากราบไหว้ในยุคทองแดง: จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผู้บูชากราบไหว้จะได้ตระหนักรู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหล่าเทพได้มาชุมนุมกัน ผู้คนจะมาโดยไม่มีการเชื้อเชิญ ผู้บูชากราบไหว้ทั้งหลายจะเป็นดังเช่นนกที่กระหายน้ำฝน(rain birds) พวกเขาจะมากันเป็นแถวอันยาวเหยียดและมาอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นที่มีชีวิตแต่ละคน
7. ความคิดที่บริสุทธิ์และแผนงานต่างๆ ของบราห์มินจะสดุดีชื่อของบาบาไปทั่วโลก ลูกที่มีความคล่องแคล่วฉับไวก็จะติดต่อกับดวงวิญญาณที่สำคัญทั้งหลายได้รวดเร็ว เมื่อเสียงได้แพร่กระจายออกไปอย่างเร็วและกระจายไปทั่วประเทศอินเดีย ลูกก็จะรู้ว่ามันเป็นเวลาสิ้นสุดของงานรับใช้แล้ว ในระหว่างที่ลูกๆได้ช่วยแพร่กระจายข่าวสารของพ่ออยู่นั้น อีกด้านหนึ่งสถานการณ์ของโลกจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ทั้งสองสิ่งนี้จะดำเนินไปพร้อมๆกัน ขณะนี้เทคโนโลยีเพื่อการทำลายล้างของโลกตะวันตกนั้นเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุดแล้ว ลูกก็จะต้องสร้างแผนงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อกระจายข่าวสารของพ่อและทำให้การก่อตั้งโลกใหม่นั้นเสร็จสมบูรณ์ สารของพ่อยังไปไม่ถึงทุกคน ด้วยเหตุนี้เสียงของการทำลายล้างจึงยังไม่ดังพอ การทำลายล้างนั้นยังคงรอคอยให้การก่อตั้งนั้นเสร็จสมบูรณ์
8. เมื่องานรับใช้ก้าวหน้าไป การสื่อสารด้วยการเขียน โทรเลขหรือโทรศัพท์ก็จะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป วันนี้ลูกยังมีสิ่งเหล่านี้ แต่วันพรุ่งนี้ลูกจะไม่มี การเผยแพร่กระจายข่าวสารนี้ต้องสื่อสารโดยผ่านระบบไร้สาย(โทรจิต-Telepathy) เพื่อให้งานทั้งหลายประสบผลสำเร็จและสามารถสื่อสารให้คำชี้แนะไปได้ทุกหนแห่งภายในเสี้ยววินาที สิ่งนี้ลูกต้องฝึกฝนตนเองเพื่อเข้าถึงสภาพคาร์มาทีท(Karmateet)ได้อย่างฉับพลันทันที ระดับในความสำเร็จของงานต่างๆ ขึ้นอยู่กับระดับพื้นฐานของสภาพคาร์มาทีท ทันที่ที่ลูกคิด มันจะไปถึงเป้าหมายราวกับว่าลูกไปอยู่ ณ ที่นั้น ลูกจะเห็นความสำเร็จอยู่ในความคิดของลูก ช่วงเวลานี้ลูกกำลังอยู่ในกระบวนการของการเพิ่มพูนลักษณะพิเศษนี้ เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จลูกจะต้องเป็นคาร์มาโยคีให้ได้ในช่วงแรก และฝึกฝนจนเข้าสู่คาร์มาทีทในช่วงต่อไป ด้วยการอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งและใช้อำนาจความคิดของลูกสื่อสารไปทุกทิศทุกทาง และเมื่อนั้นลูกจะกลายมาเป็นผู้ร่วมอยู่ในงานรับใช้ให้บริการของพ่อ
9. ปัจจุบันนี้ลูกทำให้งานสำเร็จได้โดยสื่อสารผ่านคำพูดและภาษา แต่ในเวลาสุดท้ายงานทั้งหมดจะดำเนินไปโดยผ่านความคิด เพียงแต่ลูกทำให้ประเด็นต่างๆ ที่เป็นคำพูดนั้นกระจ่างชัดเสียก่อนและให้งานทั้งหลายจะดำเนินไปโดยผ่านความคิด ให้ความคิดของลูกสั่นกังวานไปสู่ผู้อื่น ลูกกำลังใกล้สภาวะนั้นเข้ามาทุกขณะๆ จงเป็นรูปแห่งแสง จบสิ้นความคิดที่ไร้ประโยชน์ที่ทำให้เวลานั้นสูญเปล่าไปเสีย คิดถึงแต่เพียงการหาแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้เกิดขึ้นกับจิตของลูก ทำให้โลกแห่งวัตถุนี้(Material World) กลายเป็นเหมือนอาณาเขตที่ละเอียดอ่อน(Subtle Region) และทำงานโดยผ่านสัญญาน(signals) เท่านั้น
10. เทคโนโลยีสำหรับการทำลายล้างโลกนั้นพร้อมแล้ว มันจะระเบิดอย่างสนั่นหวั่นไหวด้วยเพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น! แต่การเตรียมการก่อตั้งโลกใหม่ก็จะต้องทรงอำนาจด้วยเช่นกัน จงทำให้ใครก็ตามที่มาหาลูกสามารถจะบรรลุผลได้ในสิ่งที่เขาต่างมองหาได้เพียงเสี้ยววินาที ลูกเพียงแค่กดปุ่มความคิดของลูก เพียงสร้างความคิดและผู้ที่มาหาก็จะถูกประทับตราเป็นประชาชนราษฎร์ เป็นประชาราษฎร์ผู้มั่งคั่งหรือจะเป็นประชาราษฎร์อันดับสอง ขณะนี้ลูกต้องเตรียมการเพื่อที่จะบรรลุถึงสิ่งนี้
11. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เทคโนโลยีสำหรับการทำลายล้างที่ทรงอำนาจได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในโลกตะวันตก แต่การทำงานก่อตั้งโลกใหม่จะมีดวงวิญญาณพิเศษจากโลกตะวันตกที่จะมาเป็นเครื่องมือสำหรับงานนี้ เหมือนกับที่ระเบิดปรมาณูนั้นครั้งแรกได้ถูกสร้างและทดสอบอยู่ใต้ดินและต่อมาก็ถูกนำมาใช้ ดวงวิญญาณเหล่านี้ก็เช่นกันได้ถูกตระเตรียมไว้แล้ว ขณะนี้พวกเขาอยู่อย่างแฝงตัวไม่เปิดเผย แต่เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะปรากฏขึ้นและเพิ่มจำนวนมากขึ้น แท้จริงแล้วเครื่องมือทั้งหลายจากตะวันตกจะเป็นประโยชน์สำหรับการสดุดีชื่อของพระเจ้า เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของชาวตะวันตกจะช่วยกระจายข่าวสารไปทั่วโลก ชาวตะวันตกจะมาช่วยลูกในการสร้างโลกใหม่!
12. ในขณะที่ลูกพูดว่า “อะไรก็ตามที่ถูกกำหนดไว้แล้ว จะต้องเกิดขึ้น” เช่นกัน ขณะที่ลูกก้าวหน้าไป รายละเอียดของสิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วก็จะปรากฏขึ้นและสัมผัสได้ในความคิดของลูกอย่างชัดเจน ด้วยอำนาจนี้ลูกสามารถจะทำนายอนาคตได้ ขึ้นอยู่กับว่าความสำเร็จในอนาคตของลูกนั้นชัดเจน สิ่งเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้นในละครอย่างชัดเจนเช่นกัน ลูกสามารถจะอธิบายสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีพลัง ด้วยอำนาจความรู้ที่เหนือกว่า ด้วยอำนาจที่ล่วงรู้อนาคตอย่างชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้? หรือจะเกิดอะไรขึ้นในอีกหนึ่งวินาทีถัดไป? ลูกจะไม่พูดอย่างลังเลใจว่า “ลองมาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น” อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะปรากฏขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกคงอยู่อย่างสันโดษเท่านั้น ในขณะที่ลูกกำลังพูดอยู่ ก็เหมือนกับลูกได้หายไปจากสถานที่แห่งนั้นและบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าลูกก็ได้หายไปด้วยเช่นกัน สภาวะที่เกิดจากความสามารถของลูกเช่นนี้จะดลใจให้ผู้อื่นหลุดจากปัญหาทั้งมวลได้ภายในหนึ่งวินาที
13. เมื่อการแสดงละครได้เสร็จสิ้นลง นักแสดงทั้งหมดจะขึ้นบนเวที ซึ่งนั่นจะเป็นบทสรุปสุดท้ายของละครแห่งต้นกัลป ดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลกที่ไม่ว่าจะได้เห็นนิมิตผ่านความฝัน ผ่านการปรากฏขึ้นชั่วเสี้ยววินาทีหรือผ่านเสียงแห่งการเปิดเผยในทุกสารทิศ ต่างได้เห็นนักแสดงผู้เป็นวีรบุรุษบนเวทีละครนี้อย่างแน่นอน ดวงดาวแห่งโลกจะปรากฏให้เห็นบนโลกนี้ ทุกคนจะได้พบกับเทพที่พวกเขาปรารถนาและได้รับความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ได้พบกับผู้ช่วยให้รอดพ้นภัยอย่างแท้จริง
14. ลูกอยากจะเห็นประชากรของตอนเริ่มต้นแห่งยุคทองด้วยตาของลูกเอง หรือว่าลูกจะรับรู้สิ่งนี้โดยผ่านหนังสือพิมพ์? อย่างไหนดี? วันที่ลูกทั้งหมดได้มาถึงมธุบัน ความโกลาหลบนโลกก็จะเริ่มต้นขึ้น ลูกมีภาพแห่งการชุมนุมที่ทุกๆคนได้ร่วมกันใช้นิ้วมือเล็กๆ ของตนเคลื่อนภูเขามาแล้ว จงวางแผนสำหรับสิ่งๆ นี้
15. เมื่อตาของทุกคนมองตรงขึ้นไปยังดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกคนก็จะได้สัมผัสกับแสงอันสูงส่งของดวงดาวแห่งโลกปรากฏให้เห็นทุกทิศทาง ณ ตอนเริ่มต้นยุคแห่งการบรรจบพบกันนั้น(เวลาที่ชีวาบาบาอวตารลงมาบนโลกนี้) ยามนั้นคลื่นแห่งนิมิตได้แผ่กระจายไปทั่ว ผู้คนต่างได้นิมิตเห็นบราห์มาหรือฤกษณะแม้ขณะที่นั่งอยู่ที่บ้านไม่ว่าจะไกลเพียงใด ผู้คนที่ได้รับนิมิตนั้นต่างแปลกใจและพยายามจะหาคำตอบว่า นิมิตที่ได้เห็นนั้นคืออะไร : “ผู้ที่เราเห็นนั้นคือใครกัน?” แต่ในตอนจบของยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้ ผู้คนจะเห็นนิมิตในรูปที่เป็นร่างแสงของลูก(angelic form) ทั้งบัพดาดาและลูกจะเป็นแสงแห่งความรุ่งโรจน์สุกใส ท่ามกลางสายตาและใบหน้าที่ซีดตกตะลึงของผู้คน เมื่อใดที่ลูกบรรลุถึงสภาพร่างแสงได้อย่างง่ายดายแล้วเหล่าเทวดานางฟ้าที่แท้จริงก็จะปรากฏให้เห็น
16. เวลานี้ จงกลายมาเป็นผู้ล่วงรู้ถึงกาลเวลาทั้งสาม จงดูว่าฉากสุดท้ายนั้นจะสวยงามเพียงใดและเราจะสวยงามได้อย่างไร? ลูกจะเป็นเทวดานางฟ้าที่ถูกประดับประดาด้วยคุณธรรมที่สูงส่ง และเปลี่ยนสภาพไปสู่เทพ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ลูกจะต้องเพิ่มการฝึกฝนให้ตนเองไปสู่สภาพร่างแสงให้ได้อย่างทันที กลายเป็นภาพลักษณ์ของความรู้ ภาพลักษณ์ของการคิดถึงคุณธรรมที่สูงส่ง และลูกจะสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรม 16 องศาแห่งสวรรค์ (celestial degrees) ผู้ปราศจากซึ่งกิเลสโดยสิ้นเชิง สิบหกองศาแห่งสวรรค์นั้นหมายถึง ความสมบูรณ์พร้อมในทุกๆ สิ่งนั่นเอง
17. ในตอนเริ่มต้นยุคแห่งการบรรจบพบกันนั้น สื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ ได้ลงข่าวกันว่า โอม มันดาลี (Om Mandali) มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลก ในช่วงเวลาสุดท้ายคำกล่าวเช่นนี้จะยังปรากฏออกมาจากปากของผู้คนทั้งหลาย ซึ่งเวลานั้นลูกต้องระมัดระวัง เพราะหากลูกยังบกพร่องในอำนาจใดอำนาจหนึ่งแล้ว ลูกก็จะถูกชักนำออกไปจากหนทางนี้ ความอ่อนแอในอำนาจของลูกจะนำลูกไปพบกับบททดสอบทันที เพราะสิ่งนี้ก็เป็นหนึ่งในละครเช่นกัน จะเกิดคำถามมากมายจากผู้คนทั่วไป ดังนั้นลูกจะต้องสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรม 16 องศาแห่งสวรรค์ หรืออาจกล่าวว่า จงเป็นประมุขผู้ทรงอำนาจสิทธิ์ขาด
18. วันเวลาที่ทุกคนจะยกบ้านเรือนให้แก่ลูกใกล้มาถึง เขาจะมอบสวนสาธารณะที่มีชื่อว่าสนามวิคตอเรีย (Victoria Ground) ในเมืองกัลกัตตา และจะเชิญลูกไปที่นั่น เสียงร่ำลือจะแผ่กระจายออกไปและลูกก็จะถูกเชื้อเชิญไปยังทุกหนแห่ง
19. จนถึงเวลานี้ ผู้คนได้กล่าวว่า สิ่งที่ลูกพยายามสร้างอยู่นั้นเป็นสิ่งประเสริฐ งานและชีวิตของลูกก็ประเสริฐด้วย แต่นั่นยังไม่เพียงพอ ลูกต้องพิสูจน์ให้ชาวโลกได้เห็นยิ่งกว่านั้นว่า หนทางนี้คือชีวิตแห่งอุดมคติโดยแท้ เป็นชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมและเป็นภารกิจของพระเจ้า ให้กระแสของคลื่นนี้แผ่กระจายไปทั่วโลก ให้ผู้ที่เคยกล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐ”นั้น ได้พูดใหม่ว่า “พวกเราต้องการจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐเช่นนั้นด้วย” ผู้นั้นก็จะได้เป็นประชาราษฎร์ ดังนั้น ถ้าขณะนี้ลูกสามารถจะตระเตรียมประชาราษฎร์ได้ตั้งแต่ชาติเกิดแรก มันก็เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับการตระเตรียมประชาราษฎร์ในช่วงเวลาต่อไป
20. การที่ผู้คนกระตือรือร้นมากขึ้นนั้น เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเวลาแห่งการเปิดเผยนั้นใกล้เข้ามา ก่อนอื่นจะต้องมีการเปิดเผยว่าสวรรค์บนโลกนี้มีอยู่จริง เวลานี้ชัดเจนแล้วว่าแต่ละคนนั้นได้ปฏิบัติตนจนถึงรูปสุดท้ายจนเป็นจริงได้แล้ว ผู้ที่พยายามอย่างเข้มข้นจริงจังนั้นจะไม่คิดถึงวันแห่งการทำลายล้าง เพราะว่าลูกเหล่านั้นได้ซึมซับสันสการ์ของการเป็นผู้สมบูรณ์พร้อมเป็นระยะเวลานาน ลูกเหล่านั้นจะสมบูรณ์พร้อมในช่วงเวลาสุดท้าย
21. ในอนาคตลูกจะได้รับหอประชุมแห่งเกียรติยศอันสูงส่ง ที่ซึ่งบุคคลสำคัญจะมากันอย่างมากมาย พร้อมใจกันมานั่งเพื่อฟังลูกพูด
22. ในอนาคตอันใกล้ เมื่อลูกเห็นการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ด้วยตาของลูกเอง เมื่อนั้นลูกจะรู้สึกถึงความสิ้นเยื่อใยไร้ความปรารถนา ในขณะที่ลูกกำลังรู้สึกเช่นนั้น ลูกก็จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นว่าลูกจะได้กลายเป็นอะไรในอนาคต ตาข้างหนึ่งของลูกจะได้เห็น การหลุดพ้น (liberation) และตาอีกข้างหนึ่งจะเห็น การหลุดพ้นในชีวิต (Liberation in Life) การทำลายล้าง ก็คือประตูที่นำดวงวิญญาณไปสู่การหลุดพ้น แต่การก่อตั้งโลกใหม่คือประตูที่นำดวงวิญญาณไปสู่การหลุดพ้นในชีวิต เมื่อลูกมองเห็นประตูของการหลุดพ้น และการหลุดพ้นในชีวิต นั่นก็คือชัยชนะของลูก
23. หากดวงวิญญาณคือเมล็ดที่หลากหลายยังไม่ได้ถูกเพาะหว่านลงในงานก่อตั้งโลก แล้วการทำลายล้างจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในยุคทองต้องมีผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านต่างๆด้วยเช่นกัน พวกเขาจะมารับใช้ให้บริการและเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ขณะนี้ลูกทำงานรับใช้ให้บริการเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ในชาติเกิดเดียว แต่การเตรียมการนี้จะสร้างผู้รับใช้ให้บริการกับลูกอีกหลายๆ ชาติ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็มีบทบาทให้เล่นในยุคทองเช่นกัน เขาจะเป็นผู้สร้างเครื่องมือสำหรับความสุขในยุคทอง จงเพาะหว่านเมล็ดนี้ในหนทางที่ง่ายดาย เมล็ดที่ได้เพาะแล้วจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ณ ที่นั่น ลูกๆที่อยู่ต่างแดน ภารกิจนี้จำเป็นต้องเร่งรีบขึ้นอีก ลูกต้องตระเตรียมอาณาจักร เตรียมประชาราษฎร์ ราชวงศ์และผู้ช่วยเหลือ อย่าให้ผู้ที่อยู่ในอาชีพใดก็ตาม ร้องบ่นว่า พวกเขาไม่ได้รับสารอันสำคัญนี้
24. เวลากำลังใกล้เข้ามาจนเริ่มได้ยินเสียงแล้ว ลูกกำลังทำความเพียรอย่างเข้มข้นเพื่อที่จะเปิดเผยพ่อและพร้อมพิสูจน์สิ่งนี้ ลูกต้องแสดงให้เห็นผลแห่งการหล่อเลี้ยงที่ลูกได้รับจากพ่อ
25. ด้วยสันสการ์ของพ่อ, คุณธรรมของพ่อ, ความรวดเร็วในงานรับใช้ให้บริการ การถึงสภาวะที่เป็นร่างแสงที่ละเอียด และถึงซึ่งสภาวะที่ไม่มีร่างกายเหมือนพ่อ นั่นคือรูปแบบของการชุมนุมทางดวงวิญญาณที่จะทำให้ลูกมาทัดเทียมกับพ่อได้ เมื่อทำได้เช่นนั้น นั่นจะเป็นการชุมนุมครั้งสุดท้ายในยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้ เมื่อใดก็ตามที่ลูกๆดวงวิญญาณทั้งหมดมาชุมนุมเฉลิมฉลองการเป็นผู้ที่ทัดเทียมกับพ่อ ก็จะมีเสียงแห่งชัยชนะ การเป็นผู้เสมอกับพ่อจะนำการทำลายล้างเข้ามาใกล้ หลังความเพลิดเพลินของการชุมนุม ก็จะตามมาด้วยความเงียบสงัดอย่างที่สุด ดวงวิญญาณทั้งหมดจะไปสู่ สภาวะการปลดเกษียณ (Retirement) หรือเรียกสภาวะปลดเกษียณนี้ว่า สภาวะคาร์มาทีท(Karmateet Stage)
26. ด้วยเวลาเข้ามาใกล้มากแล้ว ลูกจะต้องเป็นรูปของอำนาจ และด้วยอิทธิพลในรูปของอำนาจนี้จะส่งผลถึงผู้อื่นด้วย ลูกจะเป็นผู้นำการเปิดเผยครั้งสุดท้ายให้ใกล้เข้ามา บัดนี้ลูกต้องโบกสะบัดธงแห่งอำนาจ และสถานะภาพของลูกก็จะสูงส่ง
27. จงเผยให้เห็นความสำเร็จในชีวิตที่ลูกได้รับผ่านทาพาเซีย (tapasya- รูปแห่งไฟ) ผ่านการติดต่อกับผู้คน ผ่านความสัมพันธ์ ผ่านพฤติกรรมและใบหน้าของลูก เริ่มต้นจากการเปิดเผยให้เห็นถึงภายในและความสัมพันธ์ต่างๆ ที่ลูกมี ลูกจะถูกเปิดเผยบนเวทีของโลก เมื่อนั้นกลองแห่งการเปิดเผยจะถูกตีดังไปทั่ว มีรูปภาพที่เป็นอนุสรณ์ได้เขียนให้เห็นว่า เมื่อเทพชางก้าเปิดตาขึ้นเมื่อใดการทำลายล้างก็จะเกิดขึ้น ภาพนั้นแสดงให้เห็นว่าเทพชางก้าเป็นผู้ที่ปราศจากร่างเป็นทาพาสวี (tapaswis) เป็นผู้ที่เปลี่ยนกิเลสทั้งห้าซึ่งก็คืองูพิษมาเป็นพวงมาลัยคล้องรอบคอในท่านั่งที่สูงส่ง ดวงตาที่สามคือดวงตาของความสมบูรณ์พร้อม เมื่อลูกๆ ทาพาสวีสร้างความคิดในการเปลี่ยนแปลงโลก จากสภาพสมบูรณ์พร้อมในสภาวะแห่งความคิด เมื่อนั้นวัตถุธาตุจะเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เป็นการร่ายรำของความหายนะทางธรรมชาติ เมื่อนั้นลูกจะต้องหนักแน่นมั่นคง และชาวโลกจะอยู่ในความตื่นตระหนกเพราะดวงวิญญาณมนุษย์ไม่สามารถทำให้โลกสะอาดได้ สายลม แผ่นดิน มหาสมุทรและเปลวไฟจะทำให้โลกสะอาดด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เมื่อลูกสร้างสภาวะสมบูรณ์พร้อมผ่านทาพาเซียก็จะมีการเปิดเผย
28. ในเวลาเช่นนั้นรัฐบาลจะได้เข้าใจว่าดวงวิญญาณบราห์มินทั้งหลายคือความงดงามแห่งเทือกเขาอาบู การทำงานทุกอย่างของบราห์มินนั้นมีความหมายที่สำคัญ สถานที่ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นที่ทำงานรับใช้ ผู้คนจะเชิญลูกไปดูแลบริหารสถานที่รวมทั้งอาศรมต่างๆ ด้วย
29. งานรับใช้ให้บริการจะเป็นสิ่งที่ไม่มีขีดจำกัด ตั้งแต่ลูกได้รับการขนานนามว่า“ผู้ให้คุณประโยชน์ต่อโลก” งานก็ขยายตัวออกไป อะไรที่ลูกมีในขณะนี้นั้นไม่ได้มีความหมายอะไร เมื่อทัศนคติของลูกมีพลังอำนาจโดยผ่านทาพาเซีย ดวงวิญญาณมากมายจะถูกเปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาอย่างไม่รู้ตัวด้วยอำนาจดึงดูดของลูก
30. ด้วยพลังแห่งวิทยาศาสตร์ เครื่องมือสำหรับการทำลายล้างโลกถูกสร้างให้ทรงพลังมากพอที่จะจบสิ้นภารกิจของมันภายในระยะเวลาอันสั้น ดั่งเช่นพลังของวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครื่องมือที่ชำระโลกนี้ให้บริสุทธิ์ ผู้คนที่มีอำนาจแห่งญาณ(gyan) ก็สามารถจะสร้างสรรค์บรรยากาศโดยผ่านทัศนคติที่ทรงอำนาจได้เพียงระยะเวลาอันสั้นของช่วงเวลานี้(ยุคแห่งการบรรจบพบกัน) คลื่นแห่งความสุขของโลกยุคทองและอนาคตที่สูงส่งของโลกถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็วมากและทุกสารทิศ ณ เวลานี้ โลกได้ตายไปแล้วเกือบหมด เพราะผู้คนต่างไร้สติเหมือนคนที่นอนรอความตายอยู่บนเตียงแห่งความหวาดกลัวทุกขณะจิต ดังนั้นบัดนี้ลูกจะต้องให้ออกซิเจนที่เป็นคลื่นแห่งความสุขแก่พวกเขา ดวงตาทั้งสองของลูกจะต้องมีแต่โลกยุคทองและแสงทองของบ้านที่แสนหวานอยู่ภายใน เมื่อผู้คนได้เห็นสิ่งนี้ก็จะมีการเปิดเผย
31. ในอนาคต ลูกจะได้พบเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมาย สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย จากจุดเริ่มต้น ละครได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าอุปสรรคจะมา และถูกกำหนดไว้ด้วยว่าอุปสรรคมันจะดื้อดึงอยู่จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ซึ่งในความจริงแล้ว อุปสรรคมากมายนี้จะทำให้ลูกๆได้รับรู้และเห็นคุณค่า เมื่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ อุปสรรคนั้นก็เหมือนเกม และเกมของละครโลกนี้เองที่ทำให้ลูกสามารถบรรลุถึงความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์
32. จงจำไว้เสมอว่า สำหรับผู้อื่นมันเป็นเวลาแห่งการสูญเสีย แต่สำหรับพวกเรากลับเป็นเวลาแห่งการได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ ชาวโลกจะเห็นแต่เพียงการทำลายล้าง แต่สำหรับลูก ระหว่างการทำลายล้างลูกเห็นการก่อตั้ง จงเก็บความคิดที่สูงส่งที่สุดไว้ในหัวใจของลูกเสมอว่า การก่อตั้งโลกใหม่นั้นได้ประสบผลสำเร็จแล้ว
33. สำหรับผู้ที่มีความทุกข์นั้น ต้องการให้ฉากม่านของการเปิดเผยนั้นถูกยกขึ้นเร็วๆ แต่ฉากม่านนั้นจะเปิดออกได้ก็ต่อเมื่อนักแสดงเอกนั้นพร้อมอย่างสมบูรณ์ที่จะมาปรากฏตัวบนเวที จงเพิ่มความเข้มข้นของความคิดที่บริสุทธิ์เพื่อจะเปลี่ยนสภาพตนเอง จงเร่งความเร็วเพื่อไปสู่สภาพสมบูรณ์พร้อม ลูกจะต้องมีความรู้สึกเมตตาต่อตนเองและต่อดวงวิญญาณอื่นๆ ทั้งหมดด้วย
34. ในอนาคตยุคแห่งการบรรจบพบกันจะกลายเป็นยุคของเทวดานางฟ้า ผ่านเทวดานางฟ้า(Angels)เหล่านี้ เหล่าเทพ(Deities)ก็จะปรากฏขึ้น ในขณะสุดท้ายจะมีการพบกันของเหล่าเทวดานางฟ้าและเหล่าเทพ เหล่าเทพกำลังรอคอยที่จะมอบพวงมาลัยแห่งชัยชนะแก่ลูกๆเทวดานางฟ้า สถานภาพเทพของลูกกำลังรอคอยลูกอยู่ เทพจะมาใช้ร่างที่สมบูรณ์พร้อม ร่างที่มี16 องศาสมบูรณ์พร้อมรอคอยลูกอยู่ ลูกจะสวมพวงมาลัยแห่งชัยชนะ ดังนั้นลูกจงกำหนดวันที่แน่นอนของตัวเองที่จะสวมพวงมาลัยนี้
35. บัดนี้ลูกต้องทำให้ตัวเองเป็นรูปของมนต์ตราที่ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นเทวดานางฟ้าซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นเหล่าเทพ จากบ้านแห่งแสง ลูกจะได้ใช้ชาติเกิดใหม่ในฐานะเทพในชาติเกิดแรก จะเป็นผู้แรกที่เข้ามาสู่ยุคใหม่ วันนั้นจะเป็นวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งและของปีที่หนึ่ง วัตถุธาตุนั้นจะอยู่ในสภาวะที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ชั้นหนึ่งและอาณาจักรก็เป็นอันดับหนึ่ง สภาพแห่งยุคทองของลูกก็จะเป็นระเบียบชั้นหนึ่งอย่างแท้จริง แต่หากช้าไปเพียงแค่หนึ่งวัน นั่นก็ไม่ใช่วันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปีที่หนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับลูกตลอดช่วงเวลาอันยาวนานทั้งหมด ที่จะปรากฏผลในทางปฏิบัติต่อสันสการ์ของการเปลี่ยนแปลงรูปเทวดาไปสู่รูปของเทพ ดังนั้นหลังยุคแห่งการบรรจบพบกันเมื่อมีการเปิดเผยก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก
เปลวไฟแห่งการทำลายล้างถูกจุดขึ้นเมื่อไรและอย่างไร?
1. มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งระหว่างดวงวิญญาณของบราห์มาและห้วงเวลา ดวงวิญญาณของบราห์มาและยุคแห่งการบรรจบพบกันนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้าไม่มีบทบาทของบราห์มาก็จะไม่มียุคแห่งการบรรจบพบกันได้ เมื่อบทบาทของบราห์มาที่มาใช้ร่างจบสิ้นลง บทบาทอื่นมากมายก็จะเริ่มขึ้น และนั่นหมายถึงการนำเวลาให้เข้ามาใกล้ด้วย และเมื่อภารกิจของบราห์มาจบสิ้นลงก็หมายความว่ายุคแห่งการบรรจบพบกันก็จะจบสิ้นลงด้วยเช่นกัน กล่าวได้ว่า ดวงวิญญาณของบราห์มามีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับห้วงของเวลา และเกี่ยวข้องกับดวงวิญญาณผู้ใกล้ชิดที่ได้เดินตามทางของท่านเช่นกัน แต่ละการกระทำของผู้ปฏิบัติตามจะนำเวลานั้นเข้ามาใกล้ ดังนั้นผู้ปฏิบัติตามท่านจึงเป็นตัวชี้วัดแห่งเวลา ก่อนหน้านั้นพ่อผู้มีร่างกายได้ยืนอยู่เบื้องหน้าลูกในฐานะผู้ชี้บอกเวลา ลูกมองเห็นสภาวะอันสูงส่งของท่านและลูกสามารถเข้าใจได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ในหนทางเดียวกันลูกก็ถูกสร้างให้เป็นเครื่องมือชี้บอกเวลาด้วยเช่นกัน ด้วยพื้นฐานแห่งสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมของลูก วันเวลาแห่งการทำลายล้างโลกเก่าก็จะชัดเจน
2. เปลวไฟแห่งการทำลายล้างจะถูกจุดขึ้นเมื่อไรและอย่างไร? ใครจะกลายเป็นเครื่องมือ? ชางก้าจะกลายมาเป็นเครื่องมือหรืออย่างไร? หรือจะเป็นพ่อผู้ซึ่งสร้างไฟบูชายัญโดยผ่านลูกๆบราห์มิน? ช่วงเวลาที่ไฟบูชายัญได้ถูกสร้างขึ้นเพื่องานของการก่อตั้ง ในเวลาเดียวกันเปลวไฟแห่งการทำลายล้างก็จะถูกจุดขึ้นเช่นกัน ดังนั้นพ่อจะสร้างลูกๆ ขึ้นมาพร้อมกับจุดเปลวไฟแห่งการทำลายล้างขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมลูกผู้เป็นไฟที่ถูกจุดจะต้องกลับมาสมบูรณ์พร้อม เพื่อที่ลูกจะต้องกลายมาเป็นรูปของไฟเหมือนกับชางก้า นั่นคือลูกต้องอยู่ในสมาธิที่เข้มข้น ยามที่ซากศพกำลังถูกเผา ผู้คนก็จะใส่ฟืนเพื่อให้เปลวไฟโหมแรงขึ้น ไฟแห่งการทำลายล้างจะเป็นไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อให้ไฟนี้รุนแรงอย่างที่สุด จึงจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเหล่าดวงวิญญาณผู้เป็นเครื่องมือนี้ แล้วจะกระตุ้นด้วยวิธีใด? จะด้วยมือหรือด้วยไม้เรียว? หรือ ด้วยพลังแห่งความคิด! อย่างไรก็ตามเปลวไฟแห่งการทำลายล้างจะต้องโหมแรงยิ่งขึ้น บัดนี้…ลูกต้องกลายมาเป็นรูปแห่งไฟ และสร้างความคิดซึ่งจะทำให้ไฟแห่งการทำลายล้างรุนแรงขึ้น เมื่อนั้นโลกแห่งความทุกข์โศกนี้ก็จะเปลี่ยนแปลง
3. เพื่อที่จะกระพือเปลวไฟแห่งการทำลายล้างไปทุกสารทิศ ที่นี่ควรจะมีการชุมนุมพิเศษสำหรับโยคะ เพราะด้วยไฟแห่งโยคะที่จะทำให้เปลวไฟแห่งการทำลายล้างถูกจุดขึ้นมา มันคือไฟแห่งการทำลายล้างและคือไฟแห่งโยคะ นัยยะสำคัญก็คือ ไฟหนึ่งถูกจุดขึ้นมาจากอีกไฟหนึ่ง
4. การขยายรูปแบบของงานรับใช้ให้บริการได้เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด ขอให้ทัศนคติของการอยู่เหนือทุกสิ่งของลูกนั้นเข้มข้น เมื่อดวงวิญญาณของชาวโลกมีทัศนคติเช่นนี้ที่เป็นทัศนคติแห่งความสิ้นเยื่อใยไร้ความปรารถนาต่อสิ่งใด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะสมบูรณ์พร้อม ขณะที่ลูกกำลังอยู่ในการกระทำจงอยู่เหนือสำนึกของการกระทำ และคงอยู่เหนือบ่วงกรรม(Karmateet)ขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ควรจะมีความรู้สึกของการผูกพันยึดติด และต้องไม่ยึดติดอยู่กับงานรับใช้ให้บริการ จงมีสำนึกของการเป็นเครื่องมือ ถ้าภายในของลูกสามารถหลอมรวมทุกสิ่งและทำให้ตนเองพร้อมอยู่เสมอ การทำลายล้างก็จะพร้อม และทำให้ดวงวิญญาณทั้งมวลได้รับประโยชน์
5. จิตใจของดวงวิญญาณที่ทุกข์โศก จะมีเสียงร้องดังว่า การทำลายล้างควรจะเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่สำหรับลูกดวงวิญญาณผู้ให้คุณประโยชน์ต่อโลกนั้น ลูกควรคิดว่าทำอย่างไรจึงจะนำประโยชน์มาให้กับดวงวิญญาณทั้งมวลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นจะทำให้ความสมบูรณ์พร้อมเกิดขึ้นได้ ลูกต้องช่วยเหลือพวกเขา บัดนี้ลูกต้องเป็นผู้ให้คุณประโยชน์และปลดปล่อยทุกคน ผู้ที่ต้องเล่นบทบาทการทำลายล้าง ต้องการความร่วมมือจากลูก ดวงวิญญาณผู้ให้คุณประโยชน์ พวกเขาต้องการสัญญาณทางความคิดจากลูก หากลูกยังไม่ใช่รูปของไฟ ลูกจะไม่สามารถที่จะให้สัญญาณได้ บัดนี้ลูกต้องเตรียมสำหรับการเปลี่ยนแปลงโลก นี่คืองานสุดท้ายของลูกผ่านรูปชัคตี จงทำให้ตัวลูกอยู่ในรูปแห่งอำนาจ เป็นประภาคารที่ส่องแสงและอำนาจ เพื่อที่จะจบสิ้นโลกยุคเหล็กและกล่าวคำอำลาต่อมายา ลูกต้องสร้างให้การชุมนุมนั้นห้อมล้อมไปด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่
6. ผู้ที่จะบันดาลให้เกิดการทำลายล้างโลกยุคเหล็กก็คือ ลูกๆดวงวิญญาณผู้ก่อตั้ง ดังนั้นลูกจะต้องทำความเพียรเพื่อที่จะกลับไปยังโลกที่ปราศจากร่างและนำทุกคนไปกับลูก ด้วยสำนึกนี้ลูกจะต้องเป็นผู้ที่อยู่เหนือความสัมพันธ์ทั้งหมดและอยู่เหนือการดึงดูดของวัตถุธาตุทั้งมวล จงเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ละวาง ถ้าในกลุ่มที่ชุมนุมนี้แต่ละคนสามารถพัฒนาไปถึงระดับที่ไร้ร่างได้ ระหว่างที่ฉากแห่งการทำลายล้างโลกเก่าดำเนินไปลูกจะมองเห็นฉากแห่งการเฉลิมฉลองโลกใหม่ได้อย่างชัดเจน
7. ทั้งบราห์มาและลูกบราห์มินทั้งหมด จะต้องมีความคิดหนึ่งเดียวพร้อมๆ กันว่า “บัดนี้เราพร้อมแล้ว โลกใหม่ต้องถูกสร้างขึ้นเดี๋ยวนี้” เมื่อความคิดที่มุ่งมั่นเช่นนี้ปรากฏขึ้น โลกจะเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้จะทำให้การสร้างโลกใหม่ปรากฏขึ้นได้จริง ลูกต้องการพลังในที่ชุมนุมของลูก ไม่ใช่เพียงหนึ่งเดียว สองหรือว่าแปด แต่การชุมนุมทั่วทั้งโลกจะต้องอยู่ในความคิดเดียวพร้อมๆกัน ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น เสียงกลองแห่งความพร้อมก็จะเริ่มดังขึ้นภายในเสี้ยววินาที
8. เมื่อดวงวิญญาณทั่วทั้งโลกมีแต่ความเกลียดชังไม่พอใจก็จะเกิดผลกระทบให้มีการเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก กระแสของความคิดเช่นนี้จะทำให้มนุษย์สามารถยอมรับคำแนะนำของพ่อได้ การมีความคิดที่เบื่อหน่ายหมดความปรารถนาใดๆ นี้จะเป็นพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลง บัดนี้การชุมนุมของผู้มีทัศนคติที่สิ้นเยื่อใยอย่างไร้ขีดจำกัดจะต้องเข้มแข็ง เพื่อให้ดวงวิญญาณอื่นๆสัมผัสถึงกระแสนี้ เมื่อนั้น ที่ชุมนุมจะรู้ถึงวันแห่งการทำลายล้าง
9. ความคิดที่มุ่งมั่นเพื่อการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ จะต้องปรากฏขึ้นในที่ชุมนุมของดวงวิญญาณทั่วทุกจุดบนโลก เพื่อทำให้บรรยากาศนี้ได้ถูกสร้างขึ้น ในตอนเริ่มต้นการชุมนุมของเหล่านางพญาสิงโต(ผู้ก่อตั้งสถาบัน)ได้กลายมาเป็นเครื่องมือในการทำงานก่อตั้งอย่างที่เห็นกัน พวกเขาไม่ได้เพียงแต่คิดหรือนึกถึงสิ่งใดนอกจากลงมือทำมัน เช่นเดียวกันสำหรับความสมบูรณ์พร้อมนั้น กลุ่มจะต้องสร้างความพร้อมและเป็นผู้อยู่เหนือการประณามและการสรรเสริญ การชื่นชมหรือการสบประมาท ต้องเป็นกลุ่มที่มีอำนาจแห่งความอดทน(Power of Tolerance)เหมือนกับกลุ่มที่เริ่มก่อตั้ง ผู้ซึ่งได้ปฏิญาณที่จะอยู่อย่างบริสุทธิ์และก่อสร้างอาณาจักรขึ้น บัดนี้กลุ่มของลูกจะต้องสร้างอาณาจักรแห่งความสมบูรณ์พร้อมขึ้น
10. ขณะที่ลูกทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองไป การเปลี่ยนแปลงของโลกก็จะเกิดขึ้น นั่นเพราะการเปลี่ยนแปลงโลกสามารถเกิดขึ้นได้โดยผ่านการเปลี่ยนแปลงตนเองของลูกเท่านั้น คงอยู่ในการตระหนักรู้เสมอว่า คุณประโยชน์ของโลกนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับทุกๆความคิดของพวกเรา พลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นของลูกเองจะทำให้เวลาของการเปลี่ยนแปลงโลกเข้ามาใกล้ ตามละครแล้ว เวลาสามารถถูกกำหนดได้ แต่พื้นฐานแห่งอะไรเล่าที่จะละครจะถูกสร้างขึ้นได้? คำตอบคือ ลูกนั่นเองที่เป็นผู้ก่อตั้งมัน เมื่อลูกๆทั้งหมดได้พัฒนาไปถึงสภาพที่โบยบินได้อย่างมั่นคง มันก็จะเกิดคุณประโยชน์ต่อทุกคน นั่นเองที่จะทำให้งานของการเปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์ สำหรับลูกที่มาถึงสภาพแห่งการโบยบิน ก็หมายถึง การนำคุณประโยชน์มาสู่ทุกคน
11. อย่าได้ติดอยู่กับวันเวลาของการเปลี่ยนแปลงโลก แต่จงเปลี่ยนแปลงตัวเองและกำหนดวันในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สมบูรณ์พร้อม การเปลี่ยนตัวลูกเองให้สมบูรณ์ก็คืองานในการเปลี่ยนแปลงโลกให้สมบูรณ์นั่นเอง ลูกคือนาฬิกาผู้ชี้บอกเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงโลก จงมองเข้าไปภายในตัวลูกเองว่าลูกจะคงอยู่กับค่ำคืนที่ไม่มีขีดจำกัดนี้ได้ยาวนานอย่างไร การโผล่ขึ้นของพระอาทิตย์ที่สว่างไสวหมายถึงการจบสิ้นค่ำคืนที่มืดมิด แทนที่ลูกจะคิดถึงวันแห่งการทำลายล้าง บราห์มินทั้งหมดต้องมีความคิดที่มุ่งมั่นที่จะทำให้ตนเองสมบูรณ์พร้อมเพื่อให้งานก่อตั้งสำเร็จ เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นแน่นอน
12. โลกแห่งความทุกข์โศกนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานของการก่อตั้ง ดังนั้นทุกคนกำลังรอด้วยความคาดหวังว่า ผู้ที่เป็นเครื่องมือสำหรับการก่อตั้งโลกใหม่แห่งความสงบสุขนั้นจะกลับมาสมบูรณ์พร้อม ขณะนี้ลูกทั้งหลายกำลังยุ่งอยู่กับงานอันสำคัญของลูกเอง? หรือว่าลูกเที่ยวมองหาผู้จะทำหน้าที่ในการทำลายล้าง? ลูกคือ“ผู้ทำหน้าที่ก่อตั้ง”ที่ต้องสร้างเครื่องมือในการจุดเปลวไฟแห่งการทำลายล้างขึ้น ไม่ใช่ว่า ผู้ทำลายล้าง(วัตถุธาตุและสถานการณ์ต่างๆ) จะต้องมาทำหน้าที่กระตุ้นผู้ก่อตั้งให้เกิดเปลวไฟแห่งความเพียรพยายามได้ลุกโชนขึ้น
13. ทุกคนต้องการที่จะรู้ถึงวันและเวลานั้น ลูกๆทั้งหมดกำลังสงสัยว่าเมื่อไรที่โลกใหม่จะมา ขณะนี้ลูกล่วงรู้ถึงกาลเวลาทั้งสาม ดังนั้นการที่จะรู้อนาคตนั้นก็เหมือนกับการรู้ถึงปัจจุบัน พื้นฐานของการล่วงรู้ถึงอนาคตก็คือปัจจุบันนั่นเอง วันและเวลาของอนาคตจะเปิดเผยตัวของมันเอง ด้วยสภาวะแห่งปัจจุบันของผู้ที่จะไปยังโลกใหม่ ตั้งแต่ที่ลูกได้พูดถึงโลกใหม่ ดวงวิญญาณผู้มีสิทธิต่อโลกใหม่ก็ควรจะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นภายในตนเองด้วยเช่นกัน ไม่ควรมีสันสการ์เก่า ความคิดเก่า คำพูดเก่า หรือกิจกรรมเก่าๆ ให้หลงเหลืออยู่ ไม่ควรจะมีสิ่งใดที่เก่า ไม่ควรจะมีแม้แต่ร่องรอยของสิ่งใดที่เก่าในสันสการ์ ในนิสัยหรือในความคิดของลูก เมื่อความใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากคนส่วนใหญ่หรือในเหล่าดวงวิญญาณหลัก เมื่อนั้นการทำลายล้างโลกเก่าและวันเวลาของโลกใหม่ก็จะชัดเจน
14. บัดนี้จงกลับมาเตรียมการให้คำสั่งต่อวัตถุธาตุ ลูกต้องสร้างสภาวะที่ทรงอำนาจแทนการคาดคะเนวันเวลาแห่งการทำลายล้าง เมื่อบราห์มินทั้งหลายที่อยู่ในที่ชุมนุมจงมีความเมตตาที่จะเป็นผู้นำคุณประโยชน์มาสู่โลก และมีความปรารถนาที่จะปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมดจากความทุกข์ทรมาน เมื่อนั้นโลกก็จะเปลี่ยนแปลง ลูกต้องเป็นผู้ไม่หวั่นไหวสั่นคลอน สิ่งนี้จะนำไปสู่ช่วงเวลาสุดท้าย เช่นเดียวกับการชุมนุมที่ลูกต้องพัฒนาความคิดเดียวให้มั่นคงและแน่วแน่ ทุกคนจะต้องให้นิ้วมือเล็กๆซึ่งกันและกัน แล้วภูเขาของยุคเหล็กก็จะถูกเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดยุคทอง ลูกทั้งหมดคือผู้ค้ำจุน เป็นดวงวิญญาณผู้สูงส่งที่สุดที่เป็นฐานแห่งความสำเร็จ ซึ่งเป็นเครื่องมือของการทำลายล้างและวัตถุธาตุที่มาช่วยเติมเต็มภาระหน้าที่นี้ ดังนั้นแทนที่จะมาคาดคะเนวันและเวลาแห่งการทำลายล้าง ลูกจงกระตือรือร้นที่จะเป็นผู้จุดไฟแห่งการทำลายล้างนี้
15. อย่าได้คาดคะเนวันแห่งการทำลายล้าง หากลูกรู้ว่าเป็นวันใดแล้วแทนที่ลูกจะอยู่ในสำนึกที่เป็นดวงวิญญาณ ลูกก็อยู่แต่ สำนึกของวันเวลา(date conscious) ลูกจะไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมวันเวลาจึงไม่ได้ให้ไว้ แต่วันเวลานั้นลูกจะสัมผัสได้ด้วยตนเอง จะสัมผัสได้ราวกับมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ลูกจะสัมผัสมันได้ในอนาคตอย่างชัดเจนเมื่อลูกก้าวหน้าไป แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ดวงตาแห่งแสงของโลกจะต้องเปิดอยู่เสมอ หากมีฝุ่นผงของมายา ลูกจะไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
16. ไม่มีความจำเป็นที่จะบอกลูกถึงวันแห่งการทำลายล้าง เพราะว่าวันสุดท้ายของการทำลายล้างนั้นไม่สามารถกำหนดได้แน่นอน เพราะถ้าวันนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ที่นั่งของทุกคนก็จะต้องถูกกำหนดไว้แล้วด้วย นั่นหมายถึงแถวที่ยาวเยียดของผู้ที่ผ่านด้วยเกียรตินิยม ดังนั้นจงคงอยู่อย่างไม่มีความกังวลเกี่ยวกับวันเวลา เมื่อทุกคนเป็นอิสระจากความกังวล วันนั้นก็จะมาถึงเอง การทำลายล้างจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกคนเป็นอิสระจากความคิดเกี่ยวกับวันเวลานั้น การคาดคะเนวันทำลายล้างหมายถึงการเก็บวันเวลาตายของลูกไว้ในสำนึกตลอดเวลา ดังนั้นแทนที่จะคิดถึงแต่วันตายของลูก จงสร้างสภาวะของการเป็นผู้มีชัยชนะเหนือความผูกพันยึดติด และเป็นรูปธรรมของการคิดถึงผู้เดียวของลูก เมื่อลูกบรรลุถึงสภาวะสุดท้ายได้เช่นนั้น ก็จะเป็นการทำลายล้างครั้งสุดท้าย
17. หลังจากที่ทั่วทั้งโลกได้ถูกสังเวยในไฟบูชายัญที่ยิ่งใหญ่แล้ว ไฟนั้นจึงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่การสังเวยโลกเก่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ทุกคนได้สังเวยโลกแห่งความคิดที่ไร้ประโยชน์และไม่บริสุทธิ์ของตนแล้ว เมื่อนั้นทุกคนจะถูกสังเวยไปพร้อมกับโลกที่มีขีดจำกัดในเปลวไฟบูชายัญที่ยิ่งใหญ่นี้ การสังเวยที่สูงสุดก็คือการจำนนและละทิ้งสำนึกของคำว่า “ฉัน” ออกจากริมฝีปากและจากจิตใจของทุกคน จะมีเพียงเสียงเดียวที่ปรากฏออกคือคำว่า “บาบา“ จะไม่มีสำนึกของตนเองทั้งในความคิดหรือในความฝัน ไม่มีสำนึกของความเย่อหยิ่งจองหองในตน เมื่อใดที่ลูกสร้างไฟสังเวยนี้เป็นอันดับแรก ลูกก็จะสามารถดลใจให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน และหลังจากสังเวยก็จะมีความสมบูรณ์พร้อม
18. การทำลายล้างนี้มีความหมายเพื่อจะเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมดของทุกดวงวิญญาณ ความหมายคือการประสบความสำเร็จได้ด้วยการพากเพียรบากบั่นทางดวงวิญญาณ ความคิดนี้ควรจะเกิดขึ้น ณ บัดนี้ เพราะมันจะทำให้เกิดประโยชน์กับทุกดวงวิญญาณ เพราะดวงวิญญาณทั้งหมดต่างต้องการเป็นอย่างมาก ดวงวิญญาณที่ทุกข์โศกและไร้สงบจะได้รับพรของความสงบและความสุขโดยผ่านพ่อและสามารถจะกลับบ้านได้ เนื่องจากเวลาได้เข้ามาใกล้และจำเป็นต้องทำให้สำนึกนี้แรงกล้าขึ้น เพราะด้วยความคิดหรือสำนึกนี้ ไฟแห่งการทำลายล้างจะแรงขึ้นและทุกคนจะได้รับประโยชน์
19. มีความแตกต่างระหว่างการทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่กับการซ้อมการทำลายล้าง การทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง มีคำกล่าวว่าเมื่อใดที่ชางก้าเปิดตาขึ้นเมื่อนั้นก็จะมีการทำลายล้างอย่างฉับพลัน นี่คือสัญลักษณ์ซึ่งแสดงออกถึงการทำลายล้าง บัดนี้เป็นเวลาของการจบสิ้น ถ้าลูกยังไม่เข่นฆ่าการกระทำที่เป็นลบของตัวเองและยังคงไว้ซึ่งการกระทำกรรมที่เป็นลบอยู่อีก ลูกจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับพวกมันได้ บัดนี้ไม่ใช่เวลาให้ที่พักพิงกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น ลูกต้องทำลายความชั่วร้ายภายในตน ความคิดที่ไร้ประโยชน์ของตน การกระทำและความประพฤติที่เป็นลบของลูก จงอย่าได้ให้ที่พักพิงแก่พวกมัน เมื่อใดที่ลูกกลายมาเป็นภาพลักษณ์ของการทำลายล้างแล้ว ก็จะมีการทำลายล้างโลกเก่านี้
20. ถ้าหากว่าหาง (tail) ของความผูกพันยึดติดของลูก ตลอดจนนิสัยของลูกยังไม่ถูกจุดไฟเผา โลกเก่าแห่งเมืองลังกานี้ก็ไม่สามารถจะติดไฟได้ แต่เมื่อใดที่เหล่านักรบผู้ยิ่งใหญ่ถูกเผาไหม้อยู่ในไฟแห่งความรักจากพ่อ เมื่อนั้นโลกเก่าก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพได้
21. เหล่าดวงวิญญาณผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบในการทำลายล้าง กำลังประดิษฐ์เครื่องมืออันทรงพลังที่จะทำลายล้างลงอย่างง่ายดายและอย่างฉับพลันสิ้นเชิง เช่นเดียวกันลูกๆเหล่านักรบผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างสรรค์พลังแห่งความเงียบสงบ ต้องสร้างแผนงานเช่นนั้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลก เพื่อทำให้ทุกคนสามารถรับมรดกแห่งการหลุดพ้น(Liberation)และการหลุดพ้นในชีวิต(Liberation in Life)ภายในเสี้ยววินาทีอย่างง่ายดาย จงพัฒนาเครื่องประดิษฐ์นี้ให้บริสุทธิ์ ด้วยแสงสะท้อนแวบเดียวในเสี้ยววินาทีจากดวงตาของลูก ที่ทำให้ผู้คนเปลี่ยนจากความเศร้าโศกไปสู่ความสุขอย่างทันทีทันใด จากที่ไร้พลังไปสู่พลังอำนาจ และจากไร้ความสงบไปสู่ความสงบ
22. ในประเทศอินเดียจะมีสงครามกลางเมือง ระเบิดนิวเคลียร์จะไม่ส่งผลกระทบต่อที่แห่งนี้ ดังนั้น ขณะที่กำลังเห็นฉากหรือกำลังได้ยินข่าวของสงครามกลางเมือง แทนที่จะมีความกลัว จงเต็มไปด้วยพลังแห่งความรู้ของละครที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว และให้พลังแก่ผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง ชาวโลกจะตื่นตระหนก แต่ลูกต้องเติมพลังให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น ใครก็ตามที่เข้ามาติดต่อกับลูก จงบริจาคความสงบและพลังทั้งหมด ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ความสุขของลูกไม่ควรจะหายไป
ฉากต่างๆในช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง
1. ช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างวัตถุธาตุทั้งห้าจะแสดงรูปที่น่ากลัวของเขาออกมา ขณะที่วัตถุธาตุทั้งห้ากำลังใช้รูปแห่งความน่ากลัวอย่างรุนแรงและเข้มข้นที่สุดอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งเพราะการจบสิ้นของกิเลสทั้งห้า พวกมันก็จะใช้รูปที่เข้มข้นอย่างขีดสุดเช่นกัน ทั้งหมดจะต่อสู้กันในสงครามครั้งสุดท้าย ดวงวิญญาณทั้งหมดบนโลกจะได้พบกับพวกมันอย่างรวดเร็วและในหลากหลายรูปแบบ ดวงวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์จะมีอำนาจเพิ่มทวีขึ้น ส่วนดวงวิญญาณผู้กราบไหว้บูชาทั้งหลายก็จะร้องเรียกหาในหนทางที่แตกต่างกัน และในช่วงเวลานั้น สันสการ์เก่าที่ฝังติดอยู่ในตัวของแต่ละคนก็จะฉวยโอกาสเข้าเล่นงาน บางคนถูกโจมตีด้วยโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย บางคนจะถูกโจมตีด้วยบ่วงพันธะของความสัมพันธ์ต่างๆ บางคนถูกโจมตีในรูปของความคิดที่ไร้ประโยชน์ บางคนเกิดขึ้นเพราะขาดความระมัดระวังและบางคนก็เกิดจากความเกียจคร้าน ในทั่วทุกสารทิศจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความโกลาหล อำนาจทางวัตถุของรัฐบาล อำนาจทางศาสนาหรืออำนาจต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ จะมีแต่ความระส่ำระสาย
2. ทั่วทุกสารทิศ เสียงกรีดร้องของความทุกข์ระทมจะเพิ่มทวีขึ้น ยิ่งสถานที่แห่งใดที่มีเครื่องมืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกปรนเปรอความสุขมากเพียงใด ที่นั่นจะเป็นสถานที่ที่ผู้คนประสบกับความทุกข์ยากมากเพียงนั้น ไม่มีแม้เพียงหยดเล็กๆ แห่งความสุขให้ได้เห็น ในเวลาเช่นนั้น จะเห็นก็เพียงพ่อผู้เดียวและลูกๆของพ่อเท่านั้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือ ท่ามกลางความมืดที่กระจายปกคลุมเหนือผืนแผ่นดิน มีเพียงแสงจากประภาคารเดียวเท่านั้นที่มองเห็นได้ ดวงวิญญาณผู้ฝึกฝนการให้แสงและอำนาจจะเป็นที่ต้องการสำหรับดวงวิญญาณทั้งหลายในเวลานั้น
3. ในอนาคตอันใกล้ วัตถุธาตุจะปะทุให้เห็นความหายนะจากธรรมชาติมากมาย แม้จะมีเงินทองก็ไม่มีประโยชน์อันใด หรือแม้จะมีเครื่องมืออุปกรณ์หลากหลายก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใด ในเวลานั้นแม้แต่น้ำเพียงหยดเดียวก็หาไม่ได้ แม้ว่าลูกจะขอแลกกับแหวนทองคำ ลูกก็ไม่สามารถจะแลกน้ำได้แม้เพียงแก้วเดียว จากความหายนะทางธรรมชาติจะทำให้เมล็ดข้าวกินไม่ได้ เมื่อผู้คนได้สูญสิ้นความหวังทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝากไว้กับเครื่องมือทางวัตถุที่สร้างขึ้นหรือด้วยเงินทองแล้ว ผู้คนก็จะเริ่มคิดถึงและมองหาใครสักคนที่จะเป็นผู้ให้พลังและความสงบเพื่อให้ตนเองได้ผ่านพ้นความหายนะครั้งนี้ไปได้ ผู้คนมากมายจะโผเข้ามาหาลูก เวลานั้นลูกจะต้องเป็นผู้ที่เติมเต็มความปรารถนาในหัวใจของพวกเขา ข้อสอบทั้งหมดนี้จะมาอยู่ต่อหน้าลูก ลูกจะต้องกล้าหาญอย่างมากเพื่อยืนหยัดต่อการทดสอบนี้ เวลานั้นลูกจะมีโยคะได้หรือไม่ หรือว่าลูกจะกระหายน้ำ? หากบ่อน้ำทั้งหมดนั้นเหือดแห้ง ลูกจะทำอย่างไร? จงมีศรัทธาว่าในเวลาเช่นนั้น ลูกเป็นลูกของดวงวิญญาณสูงสุดจะปลอดภัยเสมอ
4. ในเวลาสุดท้าย วัตถุธาตุทั้งหมดจะเป็นผู้ให้คุณประโยชน์ต่อลูกผู้ซึ่งให้ความร่วมมือ คลื่นแห่งมหาสมุทรจะร่วมมือกับลูกเพื่อนำความมั่งคั่งและเครื่องมือจากทั่วทั้งโลก และพัดพามันขึ้นมากองไว้บนดินแดนภารัต แผ่นดินไหวจะปะทุขึ้น จะมาช่วยลูกดวงวิญญาณผู้สูงส่งเพื่อนำวัตถุที่มีค่าออกมารวบรวมไว้ในสถานที่เดียวกันในภารัต พายุฝนนั้นจะมารับใช้ลูกเพื่อมาช่วยทำความสะอาดผืนแผ่นดินนี้ บางส่วนของขยะจะถูกพัดพาออกไปด้วยแรงของลม และบางส่วนจะถูกชำระล้างด้วยฝน ด้วยวิธีเช่นนี้ ขยะทั้งหมดจะถูกชำระออกไป พลังแห่งสัจจะของลูกจะชำระวัตถุธาตุให้บริสุทธิ์ ทั้งเวลา ทั้งความสัมพันธ์และสันสการ์ ทั้งอาหารและการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนให้บริสุทธิ์ ชื่อและร่องรอยที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดจะถูกกำจัดออกไป
5. เมื่อองค์ประกอบในดวงวิญญาณของลูกให้ความร่วมมือ นั่นคือ ความคิด(mind) สติปัญญา(intellect)และสันสการ์(sanskaras)ยอมรับคำสั่งของลูก เมื่อนั้นวัตถุธาตุทั้งหลายจะน้อมรับคำสั่งต่อความคิดลูก ลูกต้องอยู่ในสภาวะที่สูงส่งทรงพลังมีสมาธิที่เข้มข้น เมื่อทุกคนมีความคิดเดียวกันและในเวลาเดียวกัน เสี้ยววินาทีของจุดรวมความคิดนั้นจะเกิดการแปรสภาพ(Transform) สร้างความเปลี่ยนแปลงเกิดผลกระทบอย่างฉับพลันต่อวัตถุธาตุทั้งมวล ด้วยพลังอำนาจความคิดของที่ชุมนุมจะทำให้โลกเก่าถูกเปลี่ยนสภาวะไปสู่โลกใหม่
6. ในเวลาแห่งการทำลายล้างนั้น ด้านหนึ่งจะได้ยินเสียงกลองแห่งความสมบูรณ์พร้อม ขณะที่อีกด้านหนึ่งจะมองเห็นการเฉลิมฉลองการมาของโลกใหม่ ท่ามกลางการทำลายล้างอย่างรุนแรงทุกมุมโลก จะเหลือผืนแผ่นดินอยู่เพียงหนึ่งในสี่ส่วน อีกสามส่วนของโลกจะถูกน้ำท่วม เป็นการจบสิ้นแผ่นดินที่แตกแยกและจบสิ้นศาสนาที่ถูกสร้างขึ้นมามากมาย เมื่อนั้นแผ่นดินก็จะกลายเป็นเพียงเกาะแก่งไว้เป็นสถานที่สำหรับท่องเที่ยว
7. ทวีปออสเตรเลียทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงเกาะ พื้นที่บางส่วนจะอยู่ใต้น้ำและบางส่วนจะอยู่ด้านบน แต่ลูกจะปลอดภัย ก่อนการทำลายล้างข่าวสารจะถึงลูกๆ เมื่อลูกไปถึงสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วการทำลายล้างจะเริ่มขึ้น ดังที่มีบทเพลงขับขานว่า ท่ามกลางเปลวเพลิงลูกแมวน้อยจะปลอดภัย ลูกๆ ผู้คงอยู่ในการจดจำระลึกถึงพ่ออยู่ตลอดเวลาจะไม่อยู่ท่ามกลางการทำลายล้าง ลูกจะละจากร่างกายของลูกด้วยความสมัครใจ และจะไม่อยู่ท่ามกลางฉากแห่งการทำลายล้าง
8. ขณะที่ด้านหนึ่งจะพบกับความสับสนอลหม่านที่สุดของการทำลายล้าง แต่อีกด้านหนึ่งจะได้ยินเสียงแห่งการกำเนิดของเจ้าชายองค์แรก ฤกษณะ เขาไม่ได้ลอยน้ำมาบนใบไม้ แม้ว่าจะมีการเขียนภาพแสดงให้เห็นว่าศรีฤกษณะจะลอยน้ำมาบนใบไม้หลังจากน้ำท่วมโลกแล้ว แต่นั่นเป็นนัยยะที่ลึกซึ้งที่แสดงให้เห็นว่า ผืนดินของโลกสามในสี่ส่วนจะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ และเวลานั้นมีเพียงดินแดนแห่ง ภารัตที่จะกลายเป็น พาริสฐาน (Paristhan) ซึ่งเปรียบได้กับใบไม้ที่ลอยอยู่กลางน้ำ ท่ามกลางน้ำท่วมนั้นจะมีเสียงของการกำเนิดใบไม้ใบแรกดวงวิญญาณดวงแรกจะได้ยินไปทั่วว่า เจ้าชายองค์แรกได้ปรากฏกายขึ้นแล้ว เขาได้ถือกำเนิดแล้ว นั่นคือที่มาของรูปที่แสดงให้เห็นว่า ดวารกา (Dwarka) เมืองทองคำก็จะโผล่ขึ้นมาจากกลางน้ำ นั่นคือความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางแผ่นดินสามในสี่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำนั่นเอง เมื่อใดที่เมืองแห่งนี้ปรากฏขึ้นมาจากกลางน้ำ เวลานั้นจะมีเสียงแสดงความยินดีของการกำเนิดเจ้าชายองค์แรก ฉากการกำเนิดของเจ้าชายองค์แรกและเสียงกลองแห่งการทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่ของโลกเก่า จะส่งเสียงให้ได้ยินในเวลาเดียวกัน
9. ทั่วทั้งโลกจะอยู่ภายใต้การทำลายล้าง จะมีเปลวเพลิงรอบด้านและพายุฝนตกอย่างทะลักพรั่งพลู อีกทั้งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าฝั่ง เมืองบอมเบย์ ซึ่งในอดีตนั้นไม่ได้เป็นเมืองใหญ่เหมือนปัจจุบัน แต่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ สำหรับตกปลา เวลานั้นบอมเบย์ก็จะกลับคืนสู่มหาสมุทร ประวัติศาสตร์จะกลับมาซ้ำรอยเดิม จะไม่มีการอาศัยอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร เพราะในยุคทองนั้นสถานที่ที่เหล่าเทพสร้างพระราชวังจะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่แสนหวาน อเมริกาจะถูกทำลายล้างด้วยระเบิดเพียงลูกเดียว
10. เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนที่มั่งคั่งจะกลายเป็นผู้ยากจน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น จะมีพายุฝนตกลงมาอย่างทะลักพรั่งพลู แผ่นดินสำหรับทำการเกษตรทั้งหมดจะถูกน้ำท่วม ผู้คนจะร้องว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า และเริ่มตระหนักว่าการทำลายล้างได้เกิดขึ้นจริงๆ สำหรับโลกตะวันตก ระเบิดนิวเคลียร์นั้นพร้อมแล้ว ความตายจะเกิดขึ้นที่นั่นเป็นอันดับแรก สำหรับที่นี่ในอินเดีย การนองเลือดโดยปราศจากสาเหตุจะเกิดขึ้นพร้อมๆกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับลูกแล้วการที่จะอยู่เป็นประจักษ์พยานได้เห็นฉากเช่นนั้น ลูกต้องใช้ความกล้าหาญอย่างที่สุด
การอยู่รอดปลอดภัยในช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง
ด้วยการยกระดับสภาวะจิตสู่การปฏิบัติอันสูงส่ง
1. เมื่อเปลวเพลิงกำลังเผาผลาญอยู่ทั่วทุกสารทิศ สิ่งที่ลูกดวงวิญญาณสูงส่งจะต้องทำอันดับแรกก็คือการบริจาคความสงบ ลูกต้องให้พลัง ในช่วงเวลานั้นแต่ละคนต้องการพลังที่แตกต่างกันไป บางคนต้องการ พลังแห่งความอดทนอดกลั้น(tolerate) บางคนต้องการ พลังแห่งการเก็บรวบรวม (pack up) บางคนต้องการ พลังแห่งการแยกแยะสิ่งถูกและสิ่งผิด(discernment) และบางคนต้องการ การหลุดพ้น(liberation) เพื่อที่ลูกสามารถจะช่วยให้ความปรารถนาของผู้คนทั้งหลายได้สมหวัง ลูกต้องมีพลังที่จะทำให้ดวงวิญญาณที่ไร้ความสงบเหล่านั้นได้พบกับความสงบภายในหนึ่งวินาทีด้วยการแนะนำให้รู้จักกับพ่อ บัดนี้ลูกต้องสะสมพลังทั้งหมด มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลานั้นลูกจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร? ลูกจะต้องสะสมคลังแห่งพลังให้ได้ถึงระดับ เพื่อลูกจะได้มีพลังอำนาจที่จะยืนหยัดและสามารถหล่อเลี้ยงตัวลูกเองให้ได้ และเวลาเดียวกันก็มีพลังอำนาจเพียงพอที่จะมอบแก่ผู้อื่นโดยที่ไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์
2. บัดนี้มีเวลาเหลืออยู่น้อยมากแล้ว ลูกจะต้องช่วยเหลือดวงวิญญาณทั้งหลาย ช่วยสภาวะแวดล้อม วัตถุธาตุและทุกๆคน ลูกต้องแสดงจุดหมายปลายทางแก่ดวงวิญญาณผู้เร่ร่อนพเนจร ลูกต้องให้การหลุดพ้นและการหลุดพ้นในชีวิตแก่ทุกดวงวิญญาณ ดังนั้นในเวลาที่พอจะมีเหลืออยู่ ลูกต้องใช้ทุกๆ สิ่งที่มีเพื่องานรับใช้ให้บริการ ทุกวินาทีและทุกชั่วขณะต้องอุทิศเพื่อสร้างคุณประโยชน์ต่อโลก จงทำให้ประโยชน์ส่วนตัวหลอมรวมเข้าเป็นประโยชน์ของโลกโดยอัตโนมัติ ลูกจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาให้กับดวงวิญญาณทั้งหมดในเวลานี้ มิฉะนั้นปัญหาทั้งหลายจะไม่มีความกล้าพอที่จะเข้ามาหาลูก เพื่อให้ลูกได้ถอนสมอแห่งปัญหานั้น
3. ในเวลาแห่งการทำลายล้าง วัตถุธาตุในโลกจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงสภาวะทั้งหมดของโลกและจะทำลายล้างเหล่าดวงวิญญาณซึ่งมีสันสการ์ที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยหนทางใดหนทางหนึ่ง กระแสพลังของเหล่าดวงวิญญาณซึ่งตายอย่างกะทันหันไม่รู้ตัวหรือตายก่อนเวลาอันควร การตายหมู่มากมายเช่นนั้นจะทำให้เกิดกระแสของพลังที่สกปรกอย่างขีดสุด สำหรับลูกแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศของการสังหารหมู่ผู้ที่ไร้เดียงสาและสามารถคงอยู่อย่างปลอดภัยจากกระแสที่สกปรก ขณะเดียวกับที่ต้องให้ความช่วยเหลือดวงวิญญาณเหล่านั้น ลูกจะต้องสร้างพลังจิตที่ทรงอำนาจ ลูกจึงจะบรรลุผลสำเร็จในงานใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง
4. เวลาเช่นนั้น ด้วย พลังแห่งการเก็บรวบรวม (pack up) ลูกจำเป็นต้องฝึกหัดการใช้ ฟูลสต๊อป (full stop-ฉันเป็นจุดดวงวิญญาณ) สำหรับสิ่งนี้ ลูกต้องมีการฝึกฝนเป็นพิเศษ จากเป็นร่างกายหยาบ มาสู่กายละเอียดและจากนั้นไปสู่สภาพที่ไร้ร่าง หากลูกฝึกปฏิบัติจนบรรลุถึงสภาพเช่นนี้ได้เป็นระยะเวลานาน ลูกก็จะผ่านการทดสอบในเวลานั้นได้ บัดนี้จงทำให้ตัวลูกพร้อมเสมอเพื่อเผชิญกับมัน
5. ขณะนี้ความรับผิดชอบต่อครอบครัวบราห์มินของลูกขยายตัวมากขึ้นแล้ว แต่ท่ามกลางการผลักดันสิ่งเหล่านั้นสติปัญญาของลูกจะต้องเป็นอิสระ เพื่อที่จะทำงานให้บรรลุผลได้ภายในหนึ่งวินาที สำหรับสิ่งนี้ลูกต้องหลอมรวมตนเองระหว่างการทำงานขยายตัวของงานรับใช้ กับการฝึกฝนที่เข้มข้นเพื่อจะอยู่เหนือทุกสิ่ง ช่วงขณะหนึ่งลูกกำลังให้คำชี้แนะโดยผ่านร่างกาย และขณะต่อมาลูกก็เข้าสู่สภาวะที่ไร้ร่าง การฝึกฝนนี้จะทำให้ผู้คนได้รับนิมิตของ สภาวะร่างแสง (angelic stage) ของลูก และสิ่งนี้เองจะนำไปสู่การเปิดเผย การฝึกฝนนี้เป็นเครื่องมือที่สร้างความปลอดภัยให้ลูกในเวลาสุดท้าย
6. ในเวลาแห่งการทำลายล้าง เพื่อความปลอดภัยของลูก อันดับแรกนั้น สำนึก(line)แห่งสติปัญญาของลูกจะต้องชัดเจน อันดับที่สอง ลูกต้องฝึกฝนอย่างมากเพื่อไปสู่สภาพไร้ร่าง เมื่อมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นก็ตามลูกต้องกลับไปสู่สภาพไร้ร่าง จงฝึกฝนเป็นประจำ เมื่อใดที่มีความคิดเกิดขึ้นภายในว่า ลูกต้องละจากร่างกายนี้ ผู้ที่มีความรักต่อพ่อและช่วยเหลือพ่อมาโดยตลอดจะได้รับความช่วยเหลือในเวลาสุดท้ายอย่างแน่นอน ทำให้เหมือนกับที่ลูกถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย เช่นกันเวลานั้นลูกเพียงแต่ถอดกายหยาบออกจากดวงวิญญาณของลูก
7. สติปัญญาของลูกชัดเจนมากขึ้นเพียงใด ลูกก็จะได้ยินคำชี้แนะของพ่อได้อย่างชัดเจน ลูกก็จะได้รับการสัมผัสมากตามนั้นและพลังต่างๆของลูกจะเพิ่มขึ้นเพื่อให้ลูกก้าวหน้าต่อไป ความหมายที่แท้จริงของการขยายตัวในงานรับใช้ และการเสียสละให้แก่ดวงวิญญาณทั้งหลายในเวลานี้ก็คือ การทำให้ตัวของลูกเองนั้นก้าวหน้าไป ลูกจะต้องพัฒนาและจัดการกับสันสการ์โดยการคงอยู่ในการคิดถึงพ่อผู้เดียว จงพัฒนาการฝึกฝนนี้ เพราะผลแห่งการฝึกหัดนี้ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่ลูกจะได้รับการหลุดพ้นและการหลุดพ้นในชีวิตที่สูงส่ง อย่าได้คิดว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกมากกว่าจะถึงการทำลายล้าง เพราะหลังจากนี้ไปลูกจะไม่สามารถทำความเพียรทางดวงวิญญาณได้-ลูกจะอ่อนแอ เพราะในช่วงเวลาสุดท้ายลูกจะถูกดึงเข้าสู่สงคราม และเมื่อนั้นลูกจะกลายมาเป็นผู้ที่อยู่ในยุคเงิน(Silver-Aged)
8. เพื่อที่จะคงอยู่อย่างปลอดภัยเมื่อทุกๆด้านมีฉากที่น่าสะพรึงกลัวของการทำลายล้าง สำนึกแห่งสติปัญญาของลูกจะต้องชัดเจน ลูกต้องทำลายความผูกพันยึดติดทั้งหมด ผู้ซึ่งทำลายการผูกพันยึดติดทั้งหมดก็จะได้รับถึงสัมผัสก่อนการทำลายล้างและสามารถจะไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยได้ ในเวลานั้นการติดต่อกันด้วยโทรศัพท์หรือโทรเลขจะใช้การไม่ได้ แต่การติดต่อจะเกิดกับผู้ซึ่งสำนึกในสติปัญญาที่ชัดเจน สถานการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้น ขบวนรถไฟซึ่งลูกต้องนั่งมาจะเป็นขบวนสุดท้ายและจะไม่มีขบวนอื่นหลังจากนั้น ถ้าสายสำนึกของลูกชัดเจนลูกจะได้รับเครื่องมือที่ลูกต้องการ มิฉะนั้นลูกจะติดอยู่ ณ บางแห่ง ดังนั้นลูกจำเป็นต้องฝึกฝนที่จะมีโยคะอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน การระลึกถึงพ่อคือเกราะป้องกัน และผู้ที่มีเกราะป้องกันจะปลอดภัยเสมอ
9. บัดนี้ ถ้าความหายนะทางธรรมชาติหรือสถานการณ์ต่างๆเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นทันทีทันใด วันเวลาผ่านไปการประทุอย่างฉับพลันของหายนะทางธรรมชาติจะเข้มข้นรุนแรงขึ้น มันจะไม่ลดความรุนแรงลงแต่กลับจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น เพื่อปลอดภัยจากหายนะทางธรรมชาติเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่ลูกต้องมีคือ พลังแห่งการหลอมรวม(Power to merge) และ พลังแห่งการเก็บรวบรวม (Power to pack up) เพื่อที่สติปัญญาของลูกจะไม่ถูกดึงไปที่ใดๆ สำหรับลูกมีเพียงบาบาเท่านั้น ที่ใดก็ตามที่สติปัญญาของลูกบอกว่าต้องไป นั่นคือต้องไป อย่าได้มีคำถามว่า ทำไม? และอะไร? จะเกิดอะไรขึ้น? มันจะเกิดขึ้นอย่างไร? สิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย หรือ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ลูกอย่าได้คิดเช่นนั้น การจะไปสู่สภาวะแห่งการโบยบินได้นั้น ลูกต้องการเบรกที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ลูกต้องเปลี่ยนสภาวะที่ไม่ดี (negative) ไปสู่สภาวะที่ดี (positive) ได้ในหนึ่งวินาที
10. ลูกไม่สามารถจะวางใจได้ในช่วงเวลาสุดท้าย ดังนั้นลูกจะต้องพร้อมเสมอ อยู่ในสภาวะการมีสำนึกของลูกที่ต้องอยู่เหนือสิ่งต่างๆเสมอ จงละวางอยู่เสมอด้วยการไม่มีความคิดที่เป็นลบและไม่มีความคิดที่ไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์อันใด
11. ในโลกใบเก่านี้ ไม่สำคัญว่าใครผู้ใดจะสูงส่งเพียงใด เขานั้นต่างก็เก่าทั้งสิ้นและกำลังจะเปลี่ยนสภาพไปแล้ว ลูกทั้งหมดจะต้องคงอยู่อย่างเป็นอิสระจากความกังวล ลูกไม่รู้เลยว่าบางคนจะยังคงอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ ดังนั้นลูกไม่ควรจะมีความกังวลใดๆ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ดี สำหรับบราห์มิน ทุกๆ สิ่งนั้นดีไม่มีอะไรเลวร้าย ไม่มีใครสามารถแย่งอาณาจักรนี้ไปจากลูกได้
12. การกลับมาสมบูรณ์พร้อมอยู่เสมอ นั่นคือวิธีการที่จะทำให้ลูกปลอดภัย เมื่อลูกมีเวลาลูกต้องสนุกสนานเบิกบานขณะที่อยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้อย่างเต็มที่ ที่ลูกต้องคงอยู่อย่างพร้อมเสมอก็เพราะว่าลูกยังไม่รู้ถึงวันสุดท้ายของการทำลายล้าง มันจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ถ้าลูกไม่พร้อมลูกก็จะถูกมายาหลอกลวงไป จงจำไว้เสมอว่าพ่อและฉันอยู่ด้วยกันเสมอ มีเพียงพ่อที่สมบูรณ์พร้อมและผู้ที่อยู่กับท่านก็จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเช่นกัน เมื่อใดที่ลูกรู้สึกว่าท่านนั้นเป็นเพื่อน เมื่อนั้นลูกจะเป็นโยคีที่มั่นคงได้ ลูกอยู่กับท่านเสมอ ลูกจะอยู่กับท่านเสมอ และจะกลับไปยังบ้านที่แสนหวานกับท่าน ถ้าลูกเป็นเพื่อนของท่านลูกก็จะกลับไปกับท่าน แต่หากลูกอยู่ในขบวนหรือติดอยู่กับฝูงชน ลูกก็จะได้เป็นเพียงผู้ที่ตามไปภายหลัง มีเพียงผู้ที่ทัดเทียมกับท่านเท่านั้นที่จะได้ไปกับท่าน
13. “อะไรจะเกิดขึ้น? มันจะเกิดขึ้นอย่างไร? ฉันไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะเกิดการทำลายล้าง จะอีกสิบปีหรือสี่สิบปีกันแน่?” จงอย่าได้คิดว่าบางทีลูกควรจะสะสมเงินทองไว้ ลูกจะต้องเป็นผู้ทำลายความผูกพันและยึดติด พิจารณาตนเองว่าเป็นเพียงผู้รักษาผลประโยชน์ของพ่อ จงสะสมรายได้ด้วยการไม่เข้าไปสู่คลื่นแห่งความทุกข์ในการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คงอยู่อย่างเป็นอิสระจากความวิตกกังวล จงอย่าให้มีชื่อและร่องรอยของความไม่สงบใดๆ
14. จงกลับมาสมบูรณ์พร้อมเสมอ เพราะตามละครโลกแล้ว หากบัญชีของร่างกายลูกต้องจบสิ้นลงในวันนี้ ลูกก็ควรจะผ่านด้วยเกียรตินิยม อย่าได้คิดว่าลูกนั้นยังอ่อนเยาว์และยังไม่ใช่ผู้ที่จะต้องจากไป อย่าได้คิดว่าลูกยังมีเวลาอีกมาก มีหลายคนที่คิดว่าตนเองจะยังคงอยู่ถึงปี 2000 แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของการทำลายล้างโลกนั้นเป็นประเด็นหนึ่ง ส่วนเรื่องที่ลูกต้องรักษาความพร้อมให้มีอยู่เสมอนั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
15. ในละครนี้ มีดวงวิญญาณที่มีบทบาทแตกต่างกันมากมาย ดังนั้นอย่าได้คิดว่าบทบาทของฉันไม่ได้อยู่ในบทของแอ็ดวานซ์พาร์ทิ(advance party – บทบาทของกลุ่มที่จะไปพัฒนา) หรือบทบาทของฉันนั้นอยู่หลังจากการทำลายล้าง จริงอยู่มีบางดวงวิญญาณซึ่งต้องมีบทบาทนี้ แต่ลูกต้องคงอยู่อย่างพร้อมเสมอแม้ว่าลูกจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกยี่สิบปี ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ลูกต้องไม่มีความคิดอยู่บนพื้นฐานเช่นนี้ มิฉะนั้นจะเกิดร่องรอยของความไม่ระมัดระวังกับลูก
16. ในเวลาแห่งการทำลายล้าง ทั้งหมดที่ลูกจำเป็นต้องทำก็คือ ทำให้เครื่องรับสัญญาณวิทยุไร้สายของลูกใช้งานได้ เป็นเครื่องรับวิทยุไร้สายที่อย่างปราศจากซึ่งกิเลส และข่าวสารก็จะมาถึงลูกเพื่อบอกให้ลูกต้องมาเดี๋ยวนี้ แต่หากเครื่องรับของลูกใช้งานไม่ได้ลูกก็จะไม่ได้รับคำชี้แนะ ลูกจะไม่ได้รับสารใดๆโดยผ่านเครื่องมือที่ยังเป็นกายวัตถุอยู่ สติปัญญาที่ปราศจากกิเลสเป็นกลไกเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกรับคำชี้แนะครั้งสุดท้ายได้ ดังนั้นลูกจะต้องเตรียมการอย่างเร่งด่วนเพื่อกลับมาปราศจากซึ่งกิเลสอย่างสมบูรณ์
17. เครื่องมือที่จะทำให้ปลอดภัยก็คือพลังความคิดของลูก แล้วลูกจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ช่วงเวลาสุดท้ายนั้นมีคุณประโยชน์ แต่หากลูกไม่มีสติปัญญาที่ชัดเจนถึงพ่อผู้เดียวได้ และไม่ได้สะสมอำนาจแห่งความคิดที่สูงส่ง เมื่อนั้นความอ่อนแอของลูกก็จะมาในรูปของการสำนึกผิดและมันก็จะกระทำกับลูกดั่งเช่นวิญญาณปีศาจร้าย เมื่อลูกมีสำนึกที่อ่อนแอ ความกลัวจะเข้ามาในรูปของวิญญาณปีศาจร้าย ดังนั้นบัดนี้ จงทำงานรับใช้ให้บริการที่ไม่มีขีดจำกัดและเพื่อความปลอดภัยของลูกเอง ลูกต้องสะสมเพิ่มพูนพลังแห่งการปราศจากซึ่งความกลัวและเพิ่มพลังอำนาจแห่งความคิด
18. ในเวลาแห่งการทำลายล้าง ลูกจะได้รับคำสั่งในหนึ่งวินาที คำสั่งจะมาจากพ่อ ท่านจะไม่บอกว่าวันใดที่ท่านจะให้คำสั่งนี้แก่ลูก หากท่านบอกแก่ลูก ทุกคนก็จะผ่านเป็นที่หนึ่งเหมือนกันหมด ณ เวลานี้คำถามหนึ่งเดียวก็คือวันที่เท่าไหร่ มันจะมาอย่างฉับพลัน เมื่อเวลานั้นมาถึงถ้าลูกบอกว่าจะอยู่ที่นั่น อยู่กับเด็กๆที่บ้านหรือสถานที่ทำงานรับใช้ ลูกก็ไม่ควรจดจำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จงเป็นเครื่องมือของพ่อ มีความละวางและพร้อมเสมอสำหรับงานรับใช้ เมื่อลูกได้รับสัญญาณจากพ่อ ลูกต้องไม่คิดถึงสิ่งใดเลย
19. เมื่อการสอบครั้งสุดท้ายมาถึง สถานการณ์ที่เหลือประมาณอย่างที่สุดที่ลูกไม่เคยพบเจอจะมาทดสอบลูก แม้ว่าลูกจะไม่ปรารถนามันก็ตาม สิ่งนี้จะตัดสินว่าลูกนั้นสอบผ่านหรือว่าสอบตก คำถามจะเกิดขึ้นในสติปัญญาของลูก นี่คือการทดสอบ มันเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาที
20. ข้อสอบที่จะตัดสินผลครั้งสุดท้ายของลูกจะไม่ใช้เวลาหลายวินาทีหรือเป็นนาที ในสภาวะแห่งความสับสนอลหม่านอย่างที่สุดทุกทิศทุกทาง บ้านหรือสถานที่ของลูกจะถูกตัดสินโดยความสามารถของลูกที่จะคงอยู่ได้อย่างมั่นคง หากลูกใช้เวลานานเกินไปเพื่อที่จะกลับสู่สภาพที่มั่นคงท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังปะทุขึ้น ลูกก็ไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ ดังนั้นลูกจำเป็นต้องฝึกฝนแบบฝึกหัดทางดวงวิญญาณให้เข้มข้น
21. ลูกๆ ผู้มีศรัทธาอยู่ในสติปัญญาและเป็นผู้ล่วงรู้อนาคตนั้นจะคงอยู่อย่างไม่วิตกกังวล ขณะที่ผู้คนทั่วไปจะกลัวการทำลายล้างที่จะมาถึงและไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลูกจะไม่มีความกังวลใดๆ เพราะรู้ว่าการก่อตั้งจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างความเป็นไปไม่ได้กับความเป็นไปได้ เบื้องหน้าลูกแสงทองของพระอาทิตย์แห่งโลกยุคทองกำลังปรากฏขึ้น ในขณะที่ผู้คนกำลังจ้องไปยังเมฆดำทะมึนแห่งการทำลายล้าง ขณะนี้เวลานั้นใกล้เข้ามา ลูกทั้งหมดกำลังสวมกระพรวนข้อเท้าแห่งความสุขอย่างมั่นคง ลูกเฝ้าแต่ร่ายรำไปกับความรู้ว่าวันนี้คือโลกเก่าและพรุ่งนี้จะเป็นโลกยุคทอง วันนี้และพรุ่งนี้เข้ามาใกล้กันทุกชั่วขณะ
22. มหันตภัยทางธรรมชาติที่อันตรายอย่างร้ายแรงจะมาทดสอบลูกอย่างทรหดที่สุดมันจะมารบกวนสภาวะจิตของลูก ถ้าขณะที่มองเห็นสถานการณ์เหล่านั้นแล้วลูกถูกก่อกวนแม้เพียงเล็กน้อยหรือมีคำถามขึ้นมาว่า: “นี่อะไรกัน? นี่คืออะไร?” เมื่อนั้นลูกก็สอบตก ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เสียงที่ควรจะออกมาจากภายในก็คือ “ว้าว! ละครที่แสนหวาน” ลูกไม่ควรถามว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกต้องเข้มแข็ง เพราะวันคืนผ่านไปความหายนะทางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น ลูกต้องไม่มีความสันสนวุ่นวายใดอยู่เหนือความคิดของลูก กระดาษทดสอบในหนึ่งวินาทีกำลังมาหาลูก ในเวลานั้นถ้าลูกมีจิตใจที่ว้าวุ่นแทนการเข้าถึงสภาพพร้อม ผลลัพธ์ก็จะปรากฏออกมา ดังนั้นลูกต้องผ่านภายในหนึ่งวินาที ลูกต้องฝึกฝนสิ่งนี้
23. ในเวลาที่คับขันกำลังจะมาถึงลูก จะไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ ลูกจะต้องฝึกฝนที่จะเดินทางด้วยร่างละเอียด (ร่างแสง) ภายในของลูก เวลานั้นเมื่อลูกละวางจากร่างกายและท่องเที่ยวไปรอบๆ นั่นจะดึงความสนใจของทุกๆคน ผู้คนจะพบว่าเทวดานางฟ้าได้มาหาพวกเขา เหมือนที่ทุกวันนี้พวกเขาได้เห็นจานบิน ผู้คนจะได้เห็นรูปเทวดานางฟ้าจากทุกสารทิศและพวกเขาก็เริ่มค้นหาคำตอบในสิ่งนี้
24. ก่อนการทำลายล้าง ลูกจำเป็นต้องมีสำนึกที่สูงส่งของสภาวะที่ล่องลอยด้วยร่างแสง ด้วยสภาวะนี้เท่านั้นที่ลูกสามารถเข้าถึง สภาพคาร์มาทีท(karmateet) นี่คือสภาวะของผู้สร้างโชคและผู้ประทานพร ด้วยสิ่งนี้ผู้คนจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของเหล่าเทวดานางฟ้าหรือเหล่าเทพ นี่คือสภาวะซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ลูกปลอดภัยได้ในเวลาสุดท้าย
25. ยิ่งเวลาแห่งการทำลายล้างใกล้เข้ามา ลูกต้องเข้าใกล้คุณสมบัติพิเศษของการเป็นเทพแห่งยุคทอง ต้องเป็นดวงวิญญาณที่ทำความเพียรอย่างเข้มข้นและกลับมาสมบูรณ์พร้อม การทำลายล้างจะเกิดขึ้นเพื่อทำให้ลูกได้พบกับโลกที่สมบูรณ์และวัตถุธาตุที่บริสุทธิ์ที่สุด แทนที่จะนับวันเวลาของการทำลายล้าง จงทำให้ตัวเองกลับมาบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ด้วยการนับคุณสมบัติของลูกอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้มาเป็นผู้ทัดเทียมกับพ่อ
26. การทำลายล้างเรียกได้ว่าคือช่วงสุดท้ายของเวลา ลูกต้องเพียรพยายามในเวลานี้ เพราะลูกไม่สามารถที่จะสร้างโชคได้ยาวนานตลอดช่วงเวลาของหนึ่งวงจร ดังนั้นจงมีความเฉลียวฉลาด ไม่ควรจะคาดการณ์ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นในปี 2000 บัญชีสะสมแห่งความพากเพียรทางจิตของลูกนั้นแยกออกจากบัญชีของการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ อย่าได้คิดว่าลูกยังมีเวลาเหลืออยู่อีก14 ปี หรืออีก18 ปี จึงจะละจากร่างนี้ หรือคาดการณ์ว่าอาจเป็นปี 1999 หรือ 1988 จงมีความเฉลียวฉลาดและพากเพียรทางจิตและบัญชีแห่งผลจากความเพียรนั้นจะเป็นตัวเร่งความเร็วให้กับลูก
27. ในเวลาแห่งการทำลายล้างลูกไม่ควรคิดถึงสิ่งใด ลูกต้องเป็นเช่นจักรพรรดิผู้ไร้กังวล ในเมื่อร่างกายลูกนั้นไม่ใช่ของลูก แล้วจะมีสิ่งใดเล่าที่เป็นของลูก? ลูกได้ยกร่างกาย จิตใจของลูก ทรัพย์สมบัติและทุกสิ่ง ด้วยการคิดว่า “บัดนี้ทุกสิ่งเป็นของพ่อแล้ว” เมื่อนั้นลูกก็จะเป็นผู้ที่พร้อมเสมอ ด้วยการฝึกฝนเป็นผู้ที่ละวางและมีความรักความศรัทธาซึ่งจะทำให้ลูกได้รับอันดับที่สูงขึ้น ความเพียรที่ง่ายก็คือการมีสำนึกเป็นเครื่องมือ เมื่อลูกมีสำนึกเช่นนี้ลูกจะคิดถึงแต่ผู้เดียว ผู้ซึ่งทำให้ลูกเป็นเครื่องมือ ด้วยเหตุนี้ลูกจะสอบผ่าน
28. อาชีพพิเศษของชีวิตบราห์มินคือการเปลี่ยนแปลงโลกด้วยความคิด คำพูดและการกระทำ การทำลายล้างนั้นคอยลูก แต่ลูกต้องไม่คอยการทำลายล้าง เพราะการทำลายล้างนั้นคือการสร้างและลูกคือผู้สร้าง ดังนั้นอะไรที่ลูกยังบกพร่องอยู่ ลูกต้องสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การกลับมาสมบูรณ์หมายถึงการจบสิ้นความอ่อนแอทั้งหมดของลูก บัดนี้ลูกต้องเร่งความเร็วในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะว่าลูกต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงเวลาตลอดทั้งวงจร แต่ถ้าลูกฝึกฝนเพียงระยะเวลาอันสั้น ลูกก็คงไว้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้ยาวนาน ลูกจึงต้องทำความเพียรพยายาม
29. จงบอกข่าวดีแก่เหล่าดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความทุกข์และปราศจากความสงบว่า ลูกจะช่วยพวกเขาให้ปลอดภัยจากความตายที่ไม่รู้ตัวล่วงหน้าถึง 21 ชาติเกิด ทุกวันนี้ผู้คนต่างกลัวกับความตายที่ไม่รู้ตัวล่วงหน้า พวกเขาต่างกินและนอนอยู่ท่ามกลางความกลัวเช่นนี้ บอกเรื่องราวที่น่ายินดีนี้ต่อดวงวิญญาณทั้งหลายเพื่อให้พวกเขาเป็นอิสระจากความกลัว ถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะต้องจากไป ลูกจะไม่ตายอยู่ในความกลัว เพราะลูกจะมีความสุขที่เป็นผู้คุ้มครองผู้อื่นให้พ้นจากความตายที่ไม่รู้ตัว มีบางสิ่งจะไปพร้อมกับลูก ลูกจะไม่ไปอย่างว่างเปล่า
30. ลูกจะต้องเป็นผู้ไม่มีความกลัวใดๆ ด้วยรูปของไฟลูกจะต้องเผาความไม่บริสุทธิ์ภายในวัตถุธาตุและดวงวิญญาณทั้งหลาย มันคือภารกิจที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะสำเร็จด้วยความรวดเร็วเท่านั้น เท่าที่ผ่านมาข่าวสารนั้นยังไม่ได้ไปถึงผู้คนเลย เนื้อหาสาระยังคงถูกปล่อยไว้ ลูกต้องเร่งความเร็วเพื่อที่จะมีศูนย์ของบราห์มาเกิดขึ้นในทุกๆถนน เพราะในสถานการณ์ที่รุนแรงนั้นผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะข้ามถนนไปยังอีกฟากหนึ่งได้ ผู้คนไม่สามารถจะเห็นกัน ดังนั้นในทุกบ้านทุกถนนควรจะมีสถานที่สำหรับงานรับใช้
31. ฉากต่างๆ และกระดาษข้อสอบในเวลาแห่งการทำลายล้างนั้น ต้องการพลังแห่งความอดทนที่ยิ่งใหญ่เพื่อที่จะผ่านการสอบ ลูกต้องสร้างสภาวะที่ไม่หวั่นไหวสั่นคลอนให้ได้
32. เพื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆที่เป็นไปได้ ลูกจำเป็นต้องอยู่ในสภาวะของการเป็นประภาคารแห่งแสง จงฝึกฝนการเป็นรูปแห่งแสงในขณะที่ลูกเคลื่อนไหวไปรอบๆ ต้องลืมร่างกายของลูกอย่างสิ้นเชิง หากลูกต้องทำงานบางอย่าง ต้องไปบางแห่งหรือต้องพูดบางสิ่ง จงใช้กายละเอียดของลูกเป็นเครื่องมือ ใช้เครื่องแต่งกาย(ร่างกาย)ของลูกเมื่อลูกจะต้องเล่นบทบาท แต่เมื่องานจบแล้ว ลูกจงเคลื่อนออกมา ดังนั้น ในหนึ่งวินาทีใช้เครื่องแต่งกายของลูก และวินาทีต่อมาจงกลับมาละวาง
33. ในเวลาแห่งการทำลายล้าง รูปแห่งแสงนี้จะช่วยลูกได้เป็นอย่างมาก ไม่ต้องคำนึงถึงว่าใครมาอยู่เบื้องหน้าลูก พวกเขาจะไม่เห็นร่างกายของลูก แต่จะเห็นหลอดไฟที่กำลังส่องแสง (ดวงวิญญาณ) อยู่ภายใน เหมือนกับที่เมื่อใดก็ตามที่ลูกมองไปยังแสงที่แรงกล้า ทุกสิ่งก็จะหายไป ทำนองเดียวกัน แสงที่แรงกล้าภายในลูกทุกคนจะป้องกันไม่ให้ผู้คนมองเห็นลูก ถึงแม้พวกเขาจะมองมายังร่างกายของลูก เมื่อไม่สามารถมองเห็นร่างของลูกได้ สายตาและทัศนคติที่ไม่บริสุทธิ์ของพวกเขาก็จะถูกทำลายไปเอง การทดสอบนี้จะมาหาลูก ลูกต้องสอบผ่านสถานการณ์ทั้งหมดให้ได้
34. จงเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าร่างกายจะต้องถูกทำลายไปในเวลาใดก็ได้ จงมีทัศนคติเช่นนี้ในเวลาแห่งการทำลายล้างแล้วสติปัญญาของลูกจะมีแต่ความรัก ในเวลานั้นผู้ไม่รู้ทั้งหลายจะคิดถึงพ่อแต่หากปราศจากซึ่งคำแนะนำของพ่อ พวกเขาก็ไม่สามารถเชื่อมต่อความรักนี้ได้ ถ้าลูกมีสำนึกอยู่เสมอว่านี่ไม่ใช่ชีวิตสุดท้ายของลูกแต่เป็นขณะสุดท้าย เมื่อนั้นลูกต้องไม่คิดถึงผู้ใดเลยทั้งสิ้น
35. สถานการณ์หรือฉากใดๆที่ปรากฏนั้นจะต้องเปลี่ยนไป เพราะว่าละครโลกนั้นก็คือเกมแห่งการเปลี่ยนแปลง ลูกพูดกับผู้คนว่าการทำลายล้างนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทุกคนจะต้องกลับไปยังโลกแห่งการหลุดพ้น แต่บนพื้นฐานของความรู้และโยคะนั้น ผู้คนจะต้องชำระสะสางกรรมที่ไม่ดีของตนให้ได้ก่อนการทำลายล้าง เขาจึงจะเป็นอิสระจากความทุกข์ทรมาน ทุกคนจะต้องไปแน่นอน อะไรก็ตามที่ทุกคนได้ทำไว้ก็จะได้รับผลที่ตามมาเช่นนั้น การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่ถ้าลูกเปลี่ยนแปลงตนเองบนพื้นฐานของพลังในตน ลูกจะได้รับผลจากความพากเพียรนั้น สิ่งใดที่เกิดขึ้นเพราะถูกบังคับด้วยเงื่อนไขแห่งเวลาย่อมไม่ได้รับการสรรเสริญ แต่สิ่งใดกระทำขึ้นโดยอิสระปราศจากซึ่งการบังคับกดดันด้วยเงื่อนไขแห่งเวลาแล้ว สิ่งนั้นถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด
36. การทดสอบที่รุนแรงกว่าที่ลูกเคยคาดฝันหรือคิดว่าจะเป็นไปได้กำลังมา เปรียบเหมือนที่ลูกชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งด้วยความรู้สึกที่ละวาง แม้บางช่วงบางตอนอาจจะเจ็บปวดแสนสาหัส หรือบางตอนอาจจะตลกขบขัน แต่ลูกมองดูเหตุการณ์ทั้งสองได้โดยไม่เห็นความแตกต่างใดๆ สภาวะภายในของลูกต้องมั่นคงเช่นนั้น สภาวะของลูกไม่ควรสับสนหรือไม่ควรต้องต่อสู้กับความสับสน เพราะเมื่อลูกสร้างสภาวะที่มั่นคงลูกก็จะจมหายเข้าไปสู่การจดจำระลึกถึงพ่อผู้เดียวด้วยความรัก แต่หากมีรอยตำหนิแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดในข้อสอบสุดท้ายนี้ ลูกก็จะสอบตก ดังนั้นจงกลับมาเข้มแข็งล่วงหน้า
37. มีคำถามอยู่เสมอๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ แต่ลูกมีพลังของการใส่จุดฟูลสต๊อบ (full stop-ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ) ลูกรู้ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดี และอะไรที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ยิ่งดีมากสำหรับพวกเรา สำหรับคนทั้งโลกจะพบกับความตายที่ไม่รู้ตัว แต่สำหรับพวกเราจะมีความยินดีในทุกสิ่ง เพราะไม่มีความกลัวต่อมายาและความกลัวต่อหายนะทางธรรมชาติที่รุนแรงใดๆ
38. ในอนาคต ดวงวิญญาณทั่วทั้งโลกจะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าลูกเพื่อมาขอแบ่งปันความสุขและความสงบ ลูกผู้เป็นนายและเป็นลูกของผู้ประทานจะเติมเต็มให้กับทุกคน พวกเขาจะไปที่อื่นใดได้นอกจากมาหาพ่อผู้เดียว? ลูกต้องเติมทรัพย์สมบัติให้กับตัวลูกเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทุกคนที่มาหาลูกจะได้ไม่กลับไปมือเปล่าแต่จะถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์แทน ฉากนี้จะได้เห็นกันอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต
39. คงอยู่อย่างบริสุทธิ์ในทุกย่างก้าวเสมอว่า พวกเรานั้นได้สร้างไว้หลายล้านเท่าเพื่อจะเป็นดวงวิญญาณที่สูงส่ง ในโลกนี้ผู้คนปรารถนาที่จะเก็บสะสมเงินทองไว้ให้ลูกหลาน แต่กี่ชั่วอายุคนที่จะได้รับการค้ำจุนจากมรดกเหล่านั้น? แต่เพียงชาติเกิดเดียวนี้ ลูกสามารถสะสมความมั่งคั่งไปได้อีกหลายชาติเกิด ลูกจะได้รับความสุขสบายในชาติเกิดทั้งหมดนั้น
40. วิถีทางที่จะได้รับการปกป้องจากไฟทำลายล้างก็คือ พลังที่ปราศจากซึ่งความกลัว การปราศจากความกลัวจะทำให้ลูกไม่หวั่นไหวภายใต้อิทธิพลของไฟทำลายล้าง และลูกจะไม่ถูกดึงไปสู่การปะทุขึ้นของไฟนั้น เมื่อลูกมีพลังที่ปราศจากความกลัวจะทำให้ลูกส่งพลังแห่งความสงบเยือกเย็นให้เหล่าดวงวิญญาณผู้ตื่นตระหนก ดวงวิญญาณจะได้รับการคุ้มครองและร่ายรำอยู่ในความสุขด้วยความเยือกเย็น ขณะที่เฝ้ามองการทำลายล้างลูกจะเห็นฉากของการก่อตั้ง ในดวงตาของลูกจะเห็นการหลุดพ้น เห็นบ้านที่แสนหวาน เห็นการหลุดพ้นในชีวิตและฉากต่างๆของสวรรค์ บ้านของลูกและอาณาจักรของลูกจะประจักษ์แก่สายตาของลูกเอง ขณะที่ผู้คนกรีดร้องและร่ำไห้เมื่อต้องออกจากร่าง แต่สำหรับลูกจะพูดว่า: “เรากำลังไปบ้านที่แสนหวานของเราและอาณาจักรที่แสนหวานของเรา” ไม่มีสิ่งใดใหม่ ผู้คนต่างกรีดร้อง แต่ลูกจะไปกับพ่อ!
โครงสร้างของโลกยุคทองที่จะเกิดตามมา
ภายหลังจากการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่
ลักษณะพิเศษต่างๆของโลกยุคทอง
1. ความหมายของ ยุคทอง คือ รูปแบบทั้งหมดของความสุขทางวัตถุ ความสุขของดวงวิญญาณ สติปัญญา จิตใจ ความสัมพันธ์ทั้งหลาย และรูปของความสุขทั้งมวลปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น ทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่ดีเลิศและบริสุทธิ์ที่สุด เป็นลักษณะแห่งความสมบูรณ์พร้อมที่จะมอบซึ่งความสุขอย่างที่สุดให้ได้ ร่างกายของลูก จิตใจ ความมั่งคั่ง สภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดนั้นได้บรรลุถึงความสูงสุด มีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ยอดเยี่ยม และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงเรียกว่า ยุคทอง
2. มีความสุขหนึ่งเดียวและครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม กษัตริย์และประชาชนนั้นทัดเทียมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในสถานภาพ ทั้งหมดอยู่อย่างเป็นครอบครัว ไม่มีใครพูดว่าผู้ใดเป็นคนรับใช้ มีตำแหน่งต่างๆ และมีการทำงาน แต่จะไม่มีความรู้สึกว่าใครเป็นคนรับใช้ เช่นเดียวกันภายในครอบครัว ทุกๆ ความสัมพันธ์จะมีความสุข เป็นครอบครัวแห่งความสุขและเต็มไปด้วยพลัง สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปของความยิ่งใหญ่ที่สุด
3. ในยุคทองจะปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ผู้มีสิทธิในอาณาจักร ประชาชนจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารและสิ่งอำนวยประโยชน์ทุกสิ่งเสมอ ภายใต้พระราชอำนาจแห่งการปกครองของกษัตริย์ในทุกๆ ชาติเกิด แต่ละคนได้รับความสำเร็จในชีวิต แม้ไม่มีใครต้องการความสำเร็จใดๆ แต่ตัวแห่งความสำเร็จนั้นเองที่ต้องการเจ้านายและพร้อมจะมารับใช้ เหมืองแร่จะเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติที่จะมอบความสุขให้ในรูปแบบของมัน เสียงเป่าแตรแห่งความสุขจะดังอยู่อย่างสม่ำเสมอ
4. เครื่องดนตรีจะประดับประดาไปด้วยเพชรพลอย เป็นเครื่องดนตรีธรรมชาติซึ่งไม่จำเป็นต้องเล่น ลูกเพียงแค่สัมผัสด้วยนิ้วมือมันก็จะเริ่มบรรเลง ลูกสวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามซึ่งจะเปลี่ยนไปตามกิจกรรมและสถานที่ที่ลูกอยู่ ลูกจะสวมใส่เสื้อผ้าและมีเครื่องประดับเพชรพลอยให้เลือกมากมายหลายชนิด แต่จะไม่หนักและเบายิ่งกว่าปุยฝ้าย มีทองคำแท้และฝังด้วยเพชรที่จะทำให้เกิดรัศมีแสงแพรวพราวเมื่อตกกระทบกับแสงไฟ แม้จากเพชรเม็ดเดียวจะทำให้เกิดสีสันต่างๆ ได้มากมาย ราวกับว่าลูกใช้แสงไฟหลากสี ที่นั้นในยุคทองจะใช้เพชรเพื่อทำให้เกิดแสงสีต่างๆ ขึ้น
5. ณ ที่นั่น ลักษมีและนารายัญคือจักรพรรดิและจักรพรรดินีของยุคทอง ในวัยเด็กของพวกเขาก็คือ ราเด้และฤกษณะ ผลแห่งรางวัลที่สูงส่งเช่นนั้นทั้งสองจะต้องได้รับจากผู้สร้างสวรรค์อย่างแน่นอน ต้นไม้ของครอบครัวเหล่าเทพในตอนแรกเริ่มนั้นจะเป็นเพียงต้นเล็กๆ แล้วค่อยๆ เติบโตขึ้น ประชากรในอาณาจักรของเทพนั้นจะมีน้อยมาก ซึ่งยุคนี้เรียกได้ว่าเป็นโลกแห่งความเป็นอมตะ
6. ลักษมีและนารายัญนั้นแต่ละคนมีเพียงสองแขน ทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นการมาเกิดใหม่ของวิษณุ เมื่อราชวงศ์ของวิษณุสืบเนื่องมา ก็ได้รับการขนานนามว่ามหาลักษมีและนารายัญ ในยุคทองนั้นผู้คนต่างมีชีวิตครอบครัวที่บริสุทธิ์ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมในวัดของนารายัญจึงได้แสดงภาพของผู้ที่มีสี่แขน
7. ดินแดนของลักษมีและนารายัญได้รับการกล่าวขานว่าเป็นดินแดนของวิษณุ คำว่า ไวชนาฟ (Vaishnav) มาจากคำว่า วิษณุ(Vishnu) เหล่าเทพนั้นก็คือไวชนาฟ ซึ่งมีความหมายว่าความบริสุทธิ์
8. ลักษมีและนารายัญนั้นสดชื่นแจ่มใสและยิ้มแย้มอยู่เสมอ การยิ้มนั้นย่อมไม่เหมือนกับการหัวเราะเสียงดัง การอยู่อย่างสดชื่นร่าเริงและยิ้มแย้มอยู่เสมอบ่งบอกถึงเป็นผู้ที่มีความสุขอยู่ภายใน การหัวเราะเสียงดังนั้นเป็นกิริยาที่ไม่งดงาม ดังนั้นเพียงการยิ้มจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
9. ในยุคทองไม่มีความทุกข์ใดๆ แต่มีความแตกต่างระหว่างผู้ที่มั่งคั่งและผู้ที่มั่งคั่งน้อยกว่า แต่ในโลกทุกวันนี้ ทั้งผู้คนที่ยากจนและผู้ที่มั่งคั่งต่างก็ตกอยู่ในความทุกข์ แต่ในยุคทองผู้คนทุกระดับจะมีแต่ความสุข มีความแตกต่างแต่ไม่มีผู้ใดที่มีความทุกข์
10. เราได้เห็นภาพเขียนของฤกษณะเต้นรำ แน่นอนในยุคทองเหล่าเจ้าชายและเจ้าหญิงจะเต้นรำด้วยกัน แต่ปวงประชาไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกของราชวงศ์ได้ ในยุคทองผู้คนทุกคนจะมีช้อนทองคำอยู่ในปาก
11. ในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าดินแดนแห่งสัจจะ ไม่มีรูปของความหลอกลวง ในสวรรค์มีทั้งความสงบและความสุข ความสุขนั้นขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและในสวรรค์มีความมั่งคั่งอย่างมากมาย ที่นั่นมีเครื่องบิน ราชวังที่ใหญ่โตและหรูหราในทุกรูปแบบ มีความสงบและร่างกายที่มีสุขภาพสมบูรณ์ เหล่าเทพต่างสนุกสนานเพลิดเพลินกับความสำเร็จทุกด้าน ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าโลกแห่งความสุข ความบริสุทธิ์และสันติ ที่นั่นมีเพียงศาสนาเดียว เป็นโลกที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ จึงถูกเรียกว่าชีวาลายา (Shivalava) กษัตริย์และพระราชินีนั้นบริสุทธิ์ ปวงประชาทั้งหมดนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน
12. ทุกสิ่งในยุคทองนั้นจะใหม่ แสงสว่างจะดูราวกับว่าเป็นธรรมชาติเนื่องจากสิ่งประดิษฐ์ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในโลกนี้จะถูกนำไปใช้ที่นั่น พระราชวังทุกแห่งจะมีเครื่องบินเป็นของตนเองซึ่งสามารถบินได้ด้วยเพียงการกดปุ่ม เครื่องยนต์ทั้งหมดไม่เคยขัดข้อง ไม่มีกลไกใดที่ผิดพลาด ลูกจะไปถึงโรงเรียนหรือสถานที่ใดๆได้ภายในเสี้ยววินาที
13. ในยุคทองมีศาสนาเดียวและภาษาเดียว ไม่มีศาสนาและภาษามากมายปรากฏ ณ ที่นั่น มีเพียงศาสนาเทพโบราณดั้งเดิมเท่านั้น ดินแดนแห่งภารัตนี้จะมีความสุขโดยไม่มีการแบ่งแยกการปกครองของคู่ครองที่สูงส่งคือ ลักษมีและนารายัญ ประชาชนชาวภารัตเท่านั้นที่จะคงอยู่ มีอำนาจแห่งการปกครองเพียงหนึ่งเดียว ศาสนาเดียวและภาษาเดียว ซึ่งกำลังถูกก่อตั้งขึ้นในปัจจุบันในยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้ นี่เป็นยุคที่มีการปกครองหนึ่งเดียวเป็นอาณาจักรของจักรพรรดิและจักรพรรดินี ในขณะที่ผู้ปกครองในยุคเงินนั้นถูกเรียกว่ากษัตริย์และพระราชินี จากนั้นยุคทองแดงหนทางของบาปก็เริ่มต้นขึ้น
14. ผู้คนทั้งหมดในยุคทองนั้นเป็นดวงวิญญาณที่มีคุณธรรม เป็นดวงวิญญาณที่ได้รับการพัฒนาทางจิตให้บริสุทธิ์ ในยุคทองจะเป็นอาณาจักรของศรีลักษมีและนารายัญ ในยุคเงินจะเป็นอาณาจักรของรามและสีดา ยุคของศรีฤกษณะนั้นไม่ได้แยกออกไป ความเป็นจริงเขาก็คือ เจ้าแห่งสวรรค์ (Lord of Vaikunth)
15. ในสวรรค์ ไม่มีผู้ใดที่ไม่บริสุทธิ์จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกูรูเพื่อมาชำระให้บริสุทธิ์ เพราะพ่อและแม่ได้ล้างเท้าให้ลูกๆ และนำพวกเขาไว้บนบัลลังก์แล้ว แต่ในโลกเก่านี้กูรูยังเป็นที่ต้องการเพราะผู้คนหวังว่าจะมาเป็นผู้ที่ช่วยให้ตนเองนั้นอยู่รอดพ้นไปจากบาปได้
16. ยุคทองนั้นเป็นโลกที่เล็กมาก มีผู้คนไม่มาก ในโลกเก่านี้มีถึง 8.4 ล้านสายพันธุ์ แต่ในยุคทองไม่ได้มีมากเช่นนั้น ไม่มีการบูชากราบไหว้ มีแต่การสละละทิ้งหรือการสิ้นเยื่อใยปล่อยวาง (disinterest) ยุคทองจึงเรียกว่าเป็นบ้านที่แสนหวานและเหล่าเทพก็อ่อนหวานอย่างยิ่ง มีความสงบและความสุขในโชคของอาณาจักร
17. เหล่าเทพนั้นเป็นผู้มีสุขภาพดีและมีความมั่งคั่งอยู่เสมอ มีอำนาจปกครองที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งโลก ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์จะได้รับร่างกายที่บริสุทธิ์ ผู้คนถูกเรียกว่าเป็นเทพที่บริสุทธิ์ ที่มีสุขภาพดีและมั่งมีทรัพย์สิน
18. ในยุคทองไม่มีศาล ไม่มีคุกตะราง ไม่มีผู้พิพากษาหรือนักกฎหมาย ฯลฯ เพราะไม่มีผู้ใดกระทำสิ่งชั่วร้าย ต่างเป็นผู้ที่มีอารยะธรรม ดังนั้นจึงไม่มีการเจ็บป่วย ไม่มีโรงพยาบาลหรือหมอ
19. ทุกๆ สิ่งสะอาดสมบูรณ์ มีผู้ทำความสะอาดถนน แต่ไม่มีใครถูกเรียกว่าคนกวาดถนน มีสัปเหร่อที่นั่นแต่ก็ไม่ได้ถูกจัดประเภทเช่นนั้น ในยุคทอง ร่างกายไม่มีค่าใดๆ เพียงแต่วางร่างไว้บนเครื่องจักรไฟฟ้ามันก็จะถูกทำลายในทันที ไม่มีเถ้ากระดูกที่ต้องไปทิ้งในแม่น้ำ ไม่ต้องเก็บร่างกายหรือนำไปฝัง ณ ที่ใด จะไม่มีกิจกรรมที่ยุ่งยากเช่นนั้นในยุคทอง
20. เมื่อใครผู้ใดได้ใช้ร่างใหม่ ก็จะมีสายเลือดใหม่สำหรับรุ่นใหม่ ในกลียุคร่างกายนั้นเก่าและสายเลือดก็เก่าด้วยเช่นกัน ดังนั้นในโลกเก่านี้จึงไม่มีสายเลือดใหม่อยู่เลย
21. ฤกษณะจะมีลักษณะรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมในยุคทอง ลักษณะรูปร่างหน้าตาจะไม่เปลี่ยนไปในแต่ละชาติเกิดของทั้งวงจร เมื่อยุคทองย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเขาก็จะมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้อีกครั้ง ในแต่ละชาติเกิดผู้คนจะมีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกันไปเฉพาะบุคคล รูปร่างหน้าตาในยุคทองนั้นงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนในโลกเก่าที่ลูกจะพบเห็นข้อบกพร่องในคนที่เกิดมาร่างพิกลพิการแคระแกร็น จะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคทอง
22. เหล่าเทพที่เป็นชายจะไม่มีหนวดเครา ใบหน้าจะเกลี้ยงเกลา เราสามารถจะรู้ได้จากสายตาและใบหน้าว่าใครที่เป็นชายหรือเป็นหญิง
23. ยุคทองถูกเรียกว่ากระท่อมซึ่งปราศจากทุกข์ ไม่มีความทุกข์หรือความตายที่ไม่รู้ตัวล่วงหน้า แต่ละคนที่จะออกจากร่างจะเป็นไปตามความปรารถนาของตน เหมือนการทิ้งเสื้อผ้าเก่าๆ เมื่อไม่ใช้แล้ว แทนที่จะเป็นการถูกบังคับ มันจะถูกเปลี่ยนใหม่เมื่อมันเก่าและหมดอายุ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแต่ละคนก็จะเปลี่ยนร่างใหม่
24. ในตอนเริ่มต้นของยุคทอง จะมีดวงวิญญาณที่ทรงคุณธรรม 900,000 ดวงวิญญาณ วันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปีที่หนึ่งก็จะเริ่มขึ้น คุณภาพของธรรมชาติ ผู้คนและสรรพสิ่งที่ครอบครองอยู่นั้นจะดีที่สุด ประชากรชั้นหนึ่งจำนวน 900,000 คือผู้ที่จะมาในตอนเริ่มต้นของยุคทองนั้น อย่างน้อยที่สุดคนเหล่านี้ควรจะเป็นผู้ที่มีความรักต่อพ่ออยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้
25. ผู้คนในโลกนี้เรียกขานฤกษณะว่าเจ้าชาย แน่นอนเขาจะต้องใช้ชาติเกิดเป็นกษัตริย์ หากเขาใช้ชาติเกิดเป็นผู้มั่งมี เขาคงไม่ถูกเรียกว่าเจ้าชาย มันแตกต่างเหมือนกลางวันกับกลางคืน แตกต่างเหมือนกับกษัตริย์และผู้มั่งมี แต่พ่อของฤกษณะกลับไม่ได้รับการสรรเสริญชื่อเสียงเท่าเขา มีเพียงชื่อของฤกษณะที่เป็นที่สรรเสริญ เราไม่อาจกล่าวได้ว่าพ่อของเขามีสถานภาพที่สูง เขามีสถานภาพเพียงระดับสองเป็นคนทั่วไปที่เป็นเพียงเครื่องมือผู้ให้กำเนิดฤกษณะ เขาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนให้ยิ่งใหญ่เท่าดวงวิญญาณของฤกษณะ นั่นคือจุดที่ทำให้ชื่อของพ่อฤกษณะสูญหายไป ฤกษณะคือผู้ซึ่งกลายมาเป็นนารายัญ การศึกษาเล่าเรียนของดวงวิญญาณฤกษณะนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าพ่อของเขามาก ด้วยเหตุนี้ชื่อของเขาจึงยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกัน ก็มีพ่อและแม่ของราเด้ด้วย แต่ชื่อของราเด้นั้นยิ่งใหญ่กว่าเพราะการศึกษาเล่าเรียนนั่นเอง
26. ในตอนสุดท้าย ทั่วทั้งโลกจะเป็นดินแดนของภารัต เวลานี้มีแผ่นดินที่แตกแยกออกไปมากมาย ผู้คนได้ยึดเอาดินแดนส่วนหนึ่งจากดินแดนอันกว้างใหญ่ของภารัตไปเป็นของตน อะไรก็ตามที่ถูกเอาไปจะต้องถูกนำกลับมาคืน ภารัตคือผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่เพราะทุกคนเคยได้รับส่วนแบ่งของแผ่นดิน สำหรับลูกไม่ต้องขอแผ่นดินเหล่านั้นเพราะลูกจะได้รับมันอย่างแน่นอน
27. ที่นี่ผู้คนกล่าวว่าสิ่งของและสินค้าพิเศษทั้งหลายถูกผลิตและส่งมายังประเทศอินเดีย ทั้งข้าวสาลีและสินค้าอื่น ฯลฯ ส่งมาจากประเทศออสเตรเลีย จากประเทศญี่ปุ่นหรือจากประเทศอเมริกา แต่เมื่อถึงเวลานั้นทวีปต่างๆ เหล่านี้จะไม่มีให้เห็นอีกต่อไป นั่นเป็นไปตามละครโลก ในสวรรค์ไม่มีสิ่งใดขาดแคลน ทุกสิ่งบริสุทธิ์และใหม่สมบูรณ์ ไม่จำเป็นที่จะต้องขอสิ่งใดจากใคร
28. ประเทศอเมริกาและประเทศอังกฤษจะกลายเป็นสถานที่สำหรับท่องเที่ยว จะมีสถานที่เช่นนั้นน้อยมาก พวกเขาจะไม่มีแผ่นดินที่กว้างใหญ่เช่นทุกวันนี้ เมื่อลูกบินด้วยเครื่องบินลูกจะถึงจุดหมายปลายทางด้วยความเร็วเหนือเสียง เครื่องบินของลูกจะท่องเที่ยวไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ มันจะไปถึงเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วของสัญญาณโทรศัพท์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมลูกไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ใดๆ! จะมีเครื่องบินขนาดครอบครัวและเครื่องบินส่วนตัว จะมีที่จอดเครื่องบินในพระราชวังของลูก เครื่องบินเหล่านี้จะขับได้อย่างง่ายดาย เทคโนโลยีของเครื่องยนต์ทั้งหมดจะใช้พลังงานอะตอม
29. สันสการ์ในยุคทองนั้น ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเพียงแค่มีความคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือนำมันเข้ามาอยู่ในสำนึกของลูกเท่านั้น แต่เป็นการนำสันสการ์ในยุคทองไปปฏิบัติใช้กับชีวิตประจำวันในช่วงเวลานี้ แม้ว่าลูกอาศัยอยู่ในโลกเก่านี้ ในตาทั้งสองข้างของลูกก็จะเห็นฉากต่างๆแห่งยุคทอง ภาพร่างแห่งอนาคตนี้ลูกต้องมองเห็นมันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนชัดเจนเหมือนกับมันมาปรากฏต่อหน้าลูก ลูกเพียงแต่ทิ้งร่างนี้แล้วไปสวมใส่ร่างใหม่ที่ประดับประดาไว้อย่างสวยงาม แม้ในระหว่างยุคแห่งการบรรจบพบกันลูกก็สามารถจะสัมผัสถึงยุคทองได้อย่างง่ายดาย ลูกแต่ละคนจะต้องแสดงให้เห็นถึงตัวตนและเป็นผู้ที่พากเพียรพยายาม และต้องเป็นภาพลักษณ์ที่แสดงออกให้เห็นถึงผลรางวัลของลูก
30. เหล่าเทพแห่งยุคทองจะไม่มีความปรารถนาใดๆ เพราะในยุคแห่งการบรรจบพบกันความปรารถนาทั้งหลายของลูกได้ถูกเติมเต็มแล้วโดยผ่านพ่อ ด้วยเหตุนี้สวรรค์จึงถูกเรียกว่าเป็นสถานที่วิเศษที่ได้รับดอกผลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ความเพียรพยายามเพื่อการประกาศสิทธิ์
ในสถานภาพที่สูงส่งของโลกยุคทอง
1. บัดนี้สายฝนแห่งความรู้กำลังโปรยปรายลงมาจากมหาสมุทรแห่งความรู้ผู้เป็นพ่อ มาเปลี่ยนป่าหนามให้เป็นสวนดอกไม้ที่เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ใครคือผู้ที่กำลังให้การช่วยเหลือในการก่อตั้งโลกใหม่ และกำลังศึกษาเล่าเรียนราชโยคะ ผู้นั้นก็จะได้รับโชคแห่งอาณาจักร ดอกผลของราชโยคะที่ง่ายดายคือการได้เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งมวลในอนาคต ได้กลายเป็นนารายัญจากมนุษย์ธรรมดา
2. ชีพบาบาคือพระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ ผู้เป็นพ่อ ใครก็ตามที่ได้ยินคำพูดของท่านแม้เพียงสองประโยคก็จะได้ไปสู่สวรรค์ ในอนาคตผู้คนมากมายจะมารับฟังและอาณาจักรทั้งหมดก็จะถูกสถาปนาขึ้น สำหรับการก่อตั้งสวรรค์ต้องการคนทุกประเภท ด้วยการศึกษาเล่าเรียนจะทำให้คนทั่วทั้งโลกได้รับอาณาจักร ทำให้เป็นประชาชนผู้มั่งคั่ง เป็นสาวใช้และเป็นคนรับใช้ชั้นหนึ่ง เป็นคนทำหน้าที่ล้างจาน เป็นคนเสิร์ฟอาหาร และอีกหลายคนได้ทำความสะอาด
3. ใครก็ตามที่พัฒนาตนเองและเก็บออมสะสมรายได้ในช่วงยุคแห่งการบรรจบพบกัน จะเป็นผู้ประกาศสิทธิ์ได้เป็นส่วนหนึ่งของราชตระกูลในหลายๆ ชาติเกิด
4. ใครก็ตามที่นำความรู้อันสูงส่งของพระเจ้าเข้ามาใช้ในชีวิตของตนได้ในเวลานี้ และสร้างชีวิตให้สวยงามสมบูรณ์พร้อม ผู้นั้นก็จะได้รับโชคแห่งอาณาจักรที่สมบูรณ์พร้อมในโลกใหม่
5. ผู้ที่ละทิ้งโลกเก่าอย่างสิ้นเชิงและทำให้พ่อเป็นเพื่อนร่วมทางอยู่เสมอ คือผู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับฤกษณะในโลกใหม่ในพระราชวังริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ผู้ที่มีบทบาทพิเศษในการศึกษาเล่าเรียนและสอนผู้คนก็จะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของฤกษณะ ผู้ซึ่งในยุคแห่งการบรรจบพบกันได้ทำงานไปพร้อมกับพ่อและทำให้สันสการ์สอดคล้องกลมกลืนกับพ่อ และทำให้ผู้อื่นเป็นเช่นเดียวกับพ่อ คือผู้ที่จะได้เต้นรำกับฤกษณะ ผู้ที่คงอยู่ในความบริสุทธิ์เสมอคือผู้ที่จะเข้าไปสู่ครอบครัวราชตระกูล สายตาของเขาไม่เคยถูกดึงให้ตกต่ำไปกับสิ่งยั่วยวนที่มีขีดจำกัดใดๆ พวกเขาจะถูกตกแต่งด้วยเครื่องประดับอยู่เสมอ ผู้ที่อยู่ในสภาวะของการมีสิทธิทั้งหมดอยู่เสมอและไม่เคยตกอยู่ภายใต้อำนาจของมายา คือผู้ที่จะได้รับสิทธิอันสูงส่งทั้งมวล
6. ผู้ที่ใกล้ชิดเพราะเป็นผู้ที่ทัดเทียมก็จะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ่อ ระดับที่ลูกได้รับก็อยู่ที่ระดับของความใกล้ชิด หากลูกคงอยู่อย่างใกล้ชิดในโลกวิญญาณและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในทุกๆด้านตลอดจนทุกๆ ลักษณะของการดำเนินชีวิตประจำวันในสวรรค์ อย่างที่ลูกพูดว่า “ลูกจะพูดกับท่านเท่านั้น ลูกจะเล่นกับท่านเท่านั้น ลูกจะทำให้สมบูรณ์ในทุกๆความสัมพันธ์กับพ่อผู้เดียวเท่านั้น” ถ้าทำได้เช่นนั้น ในอนาคต ยามเช้าลูกจะได้เล่นกับเขา (ฤกษณะ) ในสวน ลูกจะเต้นรำและเรียนในโรงเรียนได้พบปะพูดคุยและต่อมาก็จะได้ปกครองอาณาจักรร่วมกัน เช่นเดียวกับพ่อบราห์มาที่เคยอยู่ในสภาวะของการมีอำนาจปกครองตนเอง และได้ประกาศสิทธิ์ในการปกครองตนเอง ผู้ที่เดินตามรอยพ่อบราห์มา ผู้มีสันสการ์และความคิดว่าตนนั้นมีสิทธิ์โดยกำเนิดในการปกครองตนเอง ผู้นั้นก็จะได้ปกครองอาณาจักรร่วมกับท่าน ผู้ใดที่เป็นนักเรียนชั้นหนึ่งของพระเจ้าที่มาเรียนเป็นประจำสม่ำเสมอและตรงต่อเวลาจะได้ศึกษาเล่าเรียนกับท่าน ณ ที่นั่น เพราะว่าพ่อบราห์มานั้นคือนักเรียนอันดับหนึ่งของพระเจ้า คือผู้ซึ่งพลิ้วไหวสม่ำเสมออยู่ในความรื่นรมย์เหนือประสาทสัมผัส และผู้ที่พลิ้วไหวอยู่กับพ่ออย่างสม่ำเสมอ ณ ที่นี่ ก็จะได้พลิ้วไหวอยู่เสมอในยุคทอง ผู้ใดก็ตามที่ร่ายรำอยู่ในความสุขของความสำเร็จมากมาย ณ ที่นี่ ก็จะได้เต้นรำกับเขา ณ ที่นั่น ผู้ใดใกล้ชิดกับพ่อสม่ำเสมอด้วยคุณธรรมและสันสการ์ และผู้ที่มีทุกๆความสัมพันธ์กับพ่อ ผู้นั้นจะได้ใกล้ชิดอยู่ในราชตระกูล
7. ในอนาคตลูกจะเป็นกษัตริย์และจักรพรรดิ ผู้ก่อตั้งที่จะมาเป็นลักษมีและนารายัญอันดับที่หนึ่ง ผู้ประกาศสิทธิ์ของจักรพรรดิผู้ปกครองอาณาจักรโลก นั่นคือผู้ที่เดินตามรอยพ่ออย่างเต็มที่ทุกๆ ด้านและทุกเรื่องในยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้ หากมีข้อบกพร่องใดๆ ในการปฏิบัติตามแม้เพียงเรื่องเดียว ผู้นั้นก็จะไม่สามารถประกาศสิทธิ์ในบัลลังก์อันดับหนึ่งได้ เพื่อที่จะประกาศสิทธิ์ในบัลลังก์และมงกุฎอันดับหนึ่ง ผู้นั้นจะต้องทำตามทั้งบัพและดาดาในทุกสิ่ง ทุกด้าน ในทุกๆสันสการ์ และในทุกๆ ความคิด จงทำตามพ่อ เพราะนี่เป็นพื้นฐานของการตัดสินในอันดับของลูก มันมีความแตกต่างระหว่างลักษมีและนารายัญอันดับสองกับลักษมีและนารายัญอันดับที่แปด แตกต่างเพราะระดับของการปฏิบัติตามพ่อ
8. ผู้ที่เป็นทายาท ณ ที่นี่จะได้เข้ามาสู่ราชตระกูลในยุคทอง จึงต้องเร่งทำความเพียรพยายามในขณะนี้ ซึ่งอนาคตจะได้รับชัยชนะในบัลลังก์ของแม่และพ่อ และเป็นผู้ที่ควรค่าต่อบัลลังก์
9. ลูกมาที่นี่เพื่อฟังเรื่องราวของการกลายมาเป็นนารายัญที่แท้จริง ลูกเปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดาไปเป็นนารายัญ เมื่อมีนารายัญก็จะมีลักษมี เมื่อมีลักษมีและนารายัญก็จะเกิดเป็นอาณาจักรของพวกเขา เรื่องราวของการกลายมาเป็นลักษมีไม่ได้แตกต่าง ในความเป็นจริงลูกกลายเป็นลักษมีในเวลาเดียวกันกับนารายัญ ลักษมีบางครั้งก็กลายเป็นนารายัญ และนารายัญบางครั้งก็กลายเป็นลักษมี
10. ขณะนี้ลูกจะต้องทดลองเครื่องจักรแห่งการสร้างโลกของลูก จะทำให้การสร้างโลกยุคทองหรือโลกแห่งความสุขของลูกเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วตามแผน โลกแห่งความสุขที่ตำแหน่งที่นั่งของแต่ละคนจะต้องถูกกำหนดขึ้น ลูกจะต้องสร้างปวงประชาของลูก และปวงประชาก็จะต้องสร้างบริวารของตนต่อไป พระราชาและพระราชินีนั้นกำลังถูกกำหนด มีราชตระกูล, ครอบครัวที่มั่งคั่ง, ประชาชนธรรมดา, สาวใช้และคนรับใช้ มีการจัดตั้งมากมายที่จะต้องทำ ขณะนี้เครื่องจักรแห่งการสร้างนี้จะต้องเร่งความเร็ว นั่นหมายถึงลูกจะต้องเป็นผู้ทำความเพียรพยายามอย่างรวดเร็ว มีบัลลังก์แปดบัลลังก์ของโลกแห่งจักรพรรดิยุคทอง แต่ระดับของความสุขสมบูรณ์ในโลกของจักรพรรดิลำดับที่หนึ่งนั้น แตกต่างไปจากระดับของความสุขสมบูรณ์ในโลกของจักรพรรดิลำดับที่แปด ดังนั้นลูกจะต้องทำความเพียรพยายามเพื่อที่จะมาเป็นลำดับหนึ่ง หากเวลาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วแต่ลูกยังคงช้าอยู่ แทนที่จะไปถึงเป้าหมายแห่งยุคทอง ลูกอาจต้องตกไปสู่ยุคเงินแทน เมื่อเวลาเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วลูกก็จะต้องรวดเร็วด้วย เวลากำลังผ่านไปและจะไม่คอยใคร วันเวลาที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้านั้นสิ้นสุดลงแล้ว และวันเวลาสำหรับการวิ่งอย่างรวดเร็วก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน เวลานี้หรือแต่เพียงวันเวลาสำหรับการก้าวกระโดด! หากลูกยังมีสิ่งใดบกพร่องอยู่ลูกจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใด นี่จึงเรียกว่าการก้าวกระโดด ซึ่งสิ่งนี้ลูกจำเป็นจะต้องมีศรัทธาและความกล้าหาญ
11. ผลลัพธ์นั้นยังไม่ปรากฏออกมา ดังนั้นลูกจะต้องตั้งเป้าเพื่อให้ได้สถานภาพที่สูงส่งในอนาคต เหมือนกับการเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดครั้งสุดท้าย ลูกจึงจะรู้ว่าใครคือผู้ชนะ นอกเหนือจากอันดับที่หนึ่งแล้ว อันดับอื่นๆ ยังไม่ได้ถูกกำหนด อันดับสองนั้นถูกกำหนดแล้ว และมีอันดับสามที่ยังว่างอยู่ อันดับที่หนึ่งนั้นจะมีเพียงหนึ่ง แต่ในกลุ่มของอันดับที่หนึ่งนั้นยังมีเหลืออีกจำนวนมาก จะมีตำแหน่งในราชตระกูลมากเท่าที่มีพระราชาและพระราชินีที่มีค่าควรแก่บัลลังก์ จะได้รับสถานภาพและความเคารพนับถือมากเท่ากับลักษมีและนารายัญ ดังนั้น จงกำหนดเป้าหมายเพื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มของอันดับที่หนึ่ง เพื่อเข้าไปสู่ราชตระกูลอันดับที่หนึ่งนั้นก็เปรียบได้กับว่าลูกได้เป็นลักษมีและนารายัญ จงเร่งทำความเพียรพยายาม ลูกยังมีโอกาส
การถือกำเนิด
1. ในยุคทอง เหล่าเทพนั้นกำเนิดด้วยพลังของโยคะ และได้รับการสรรเสริญว่าสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรมทั้งมวล สมบูรณ์พร้อมด้วยสิบหกองศาแห่งสวรรค์ ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง ลูกๆ นั้นจะเกิดอย่างแน่นอน แต่จะไม่เกิดด้วยกิเลส จะต้องมีวิธีการบางอย่าง โลกเก่านี้ผู้คนนั้นเต็มไปด้วยกิเลส ส่วนในยุคทองปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง พระราชาและพระราชินีเป็นเช่นไร ปวงประชาก็จะเป็นเช่นนั้น
2. แน่นอนที่ในยุคทองจะมีกฎเกณฑ์ในเรื่องอายุของผู้ที่จะให้กำเนิดบุตร ทุกสิ่งจะมีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่ว่าบางคนจะมีลูกเมื่ออายุ 15-20 ปีเช่นที่เกิดขึ้น ณ โลกเก่านี้ ไม่เลยในยุคทองจะไม่มีเช่นนี้มนุษย์จะมีอายุขัยโดยทั่วไปถึง 150 ปี และจะมีลูกๆในวัยที่เป็นหนุ่มสาวเต็มที่ คือช่วงเวลาก่อนครึ่งหนึ่งของอายุขัยเล็กน้อย เวลานั้นพวกเขาจะมีบุตรชาย จะให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนและหลังจากนั้นก็จะเป็นบุตรสาว นี่คือกฎ บุตรชายจะเกิดก่อนเสมอ จากนั้นก็เป็นผู้หญิง บุตรชายและบุตรสาวจะมีอายุที่แตกต่างกันประมาณเก้าถึงสิบปี
3. เมื่อเวลาแห่งชัยชนะมาถึง การกำเนิดของเจ้าชายศรีฤกษณะก็จะบังเกิดขึ้น ในช่วงเวลาของการกำเนิด แม่ของเขาได้รับนิมิตของวิษณุผู้มีสี่แขน มีแสงสว่างเปล่งประกายอยู่โดยรอบ ในมือจะถือขลุ่ยที่ประดับด้วยเพชรพลอย เขาคือเจ้าชาย แต่ไม่มีความรู้ของพระเจ้า ณ ที่นั่น ชื่อของฤกษณะนั้นได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่ แต่พ่อนั้นไม่ได้รับการสรรเสริญมากนัก พ่อของศรีฤกษณะจะต้องเป็นกษัตริย์อย่างแน่นอนเพราะฤกษณะนั้นต้องถือกำเนิดจากกษัตริย์ แต่การถือกำเนิดของกษัตริย์นั้นไม่ใช่หนทางที่บริสุทธิ์และนี่คือเหตุผลว่าทำไมชื่อของเขาจึงไม่โด่งดัง ในเวลากำเนิดของศรีฤกษณะนั้น ยังมีผู้คนที่ไม่บริสุทธิ์มีชีวิตเหลืออยู่ เมื่อใดที่ผู้คนที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดได้ตายไปแล้ว ศรีฤกษณะจึงจะขึ้นนั่งบนบัลลังก์ เขาจะครอบครองอาณาจักรและยุคสมัยของเขาก็จะเริ่มต้นขึ้น
4. สวรรค์นั้นไม่ได้ปรากฏขึ้นมาจากมหาสมุทร พวกเขาแสดงไว้ในตำนานว่า หลังจากอุทกภัยครั้งใหญ่หลวง ศรีฤกษณะก็จะลอยมาบนใบโพธิ์กลางมหาสมุทรและกำลังดูดนิ้วเท้า ถ้านั่นคือความจริง ศรีฤกษณะจะมาเพียงลำพังและจะมาเพิ่มประชากรโลกได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ควรจะมีสองคน ควรจะมีผู้หญิงด้วยเช่นกัน แต่ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น บางตำนานก็กล่าวว่าฤกษณะนั้นได้กำเนิดจากป่าเช่นเด็กแปดขวบ ซึ่งก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน ดินแดนของคานส์ (Kans - ปีศาจ) จะไม่ปรากฏขึ้นในเวลานั้น
5. ในยุคทอง จะไม่มีการตายของสามีหรือบุตรชายของผู้ใด ไม่มีการตายโดยที่ไม่รู้ตัวล่วงหน้า ดวงวิญญาณจะออกจากร่างหนึ่งและเข้าไปสู่ครรภ์ การให้กำเนิดนั้นไม่มีความเจ็บปวดใดๆ มันเปรียบได้กับพระราชวังแห่งครรภ์ที่แสนจะมีความสุข ในขณะที่โลกเก่านี้การได้อยู่ในครรภ์นั้นเหมือนกับการอยู่ในคุก และผู้ใดที่ปล้นหรือก่ออาชญากรรมก็จะต้องถูกขังคุกโดยรัฐบาล ในยุคทองไม่มีคุกเช่นนั้นให้เห็น ไม่มีใครก่ออาชญากรรมใดๆ ในสวรรค์ ไม่มีใครสร้างความยุ่งยากให้แก่ใคร แม้แต่เด็กๆก็จะไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้ลำบากใจ พวกเขานั้นต่างอ่อนหวานมาก
อายุขัย
1. ผู้คนจะกำเนิดด้วยพลังแห่งโยคะ อายุขัยในยุคทองนั้นจึงยาวนานมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเหล่าเทพจึงถูกเรียกว่าผู้เป็นอมตะ ในเวลาอันเหมาะสมดวงวิญญาณจะละทิ้งเครื่องแต่งกาย (ร่างกาย) หนึ่งและไปใช้ชุดใหม่ ผู้นั้นจะได้รับนิมิตว่า “บัดนี้ฉันจะต้องถอดเครื่องแต่งกายเก่านี้และไปสวมชุดใหม่ ฉันจะต้องไปสู่ครรภ์” ดวงวิญญาณก็จะทิ้งร่างหนึ่งและแล้วเข้าไปสู่ลูกอ่อนในครรภ์โดยอัตโนมัติ ซึ่งครรภ์นั้นไม่ใช่คุก แต่เป็นพระราชวัง ไม่มีบาปใดที่จะต้องได้รับการทรมานถูกลงโทษ พวกเขาจะนอนอย่างสบายอยู่ในพระราชวังแห่งครรภ์ ไม่มีเรื่องของความทุกข์ใดๆ ไม่มีการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดที่เป็นเหตุให้เด็กต้องเจ็บป่วย ผู้คนทั้งหมดต่างเป็นของสุริยวงศ์และจันทรวงศ์ ทั้งหมดบริสุทธิ์และมีอายุที่ยืนยาว โลกนั้นใหม่และทุกๆ สิ่งก็ใหม่
2. ณ กลียุค อายุเฉลี่ยของผู้คนนั้นคือ 35 – 40 ปี อาจมีบางคนที่มีอายุถึง 100 ปี ณ ยุคทอง อายุเฉลี่ยนั้นคือ 125 – 150 ปี อายุขัยของลูกๆ ก็จะเป็นเหมือนกับต้นกัลป ลูกจะใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการตายโดยไม่รู้ตัวล่วงหน้า
การศึกษาเล่าเรียน
1. การศึกษาเล่าเรียน ณ ที่นั่นเป็นเหมือนการละเล่น จะมีการละเล่นในขณะที่ศึกษาเล่าเรียน โดยเรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองและการบริหาร แม้จะศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับการบริหาร แต่การวาดภาพก็เป็นวิชาหลัก ทุกคนไม่ว่าจะแก่หรือหนุ่มต่างเป็นศิลปินที่มีดนตรีและศิลปะเป็นพื้นฐาน ณ ที่นั่นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ก็อยู่ในรูปของเสียงเพลงและบทกวี ไม่มีความเบื่อหน่าย ลูกจะเต้นรำและแสดงละคร แต่ไม่มีภาพยนตร์ ละครนั้นจะเป็นละครที่สนุกสนานและให้ความบันเทิงเป็นอย่างมาก มีโรงละครมากมายให้ได้ชมกัน
2. ผู้ที่จะเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงในยุคทองจะมีวิทยาลัยที่โอ่โถง ได้เล่าเรียนเกี่ยวกับภาษาซึ่งจะเป็นภาษาฮินดีที่บริสุทธิ์
การสมรส
1. การสมรสของเหล่าเทพนั้นมีความโอฬารตระการตาเป็นอย่างมาก แต่จะไม่มีการฉลองสมรสที่หมกมุ่นอยู่ในกิเลสราคะใดๆ ณ ที่นั่นผู้คนจะเป็นเช่นดอกไม้ที่บริสุทธิ์ เป็นผู้ที่จะกลายเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินี ที่นั่นจะมีสันสการ์ที่ปราศจากกิเลสคงอยู่ต่อไปอีกหลายชาติ จะไม่มีชื่อหรือร่องรอยของมายาปรากฏให้เห็นอยู่ในสวรรค์
2. ศรีราเด้และศรีฤกษณะนั้นคือมกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงต่างอาณาจักรกัน พวกเขาไม่ใช่พี่ชายและน้องสาว พวกเขาต่างมีอาณาจักรเป็นของตนเองที่แยกจากกัน แต่หลังจากที่ได้สมรสทั้งคู่จึงกลายเป็นลักษมีและนารายัญ
3. ไม่มีเรื่องราวในวัยเด็กของลักษมีและนารายัญบันทึกไว้ แต่มีเรื่องราวในวัยเด็กของราเด้และฤกษณะ ทั้งคู่เคยเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิง พวกเขาไม่เคยเป็นผู้ปกครอง หลังจากสมรสจึงได้กลายเป็นลักษมีและนารายัญ แล้วอาณาจักรของทั้งคู่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
4. ฤกษณะได้ผ่านการทดสอบอย่างเต็มที่ สัญลักษณ์ของเขาคือพระจันทร์เต็มดวง เขาคือเจ้าชายองค์แรกแห่งยุคทอง เส้นทางของเขานั้นดำเนินต่อไปถึงแปดชั่วอายุ ยามเมื่อเป็นเด็กเขาถูกเรียกว่า โมฮัน ซึ่งหมายถึงศรีฤกษณะ เช่นเดียวกับเจ้าชายแห่งเวลส์ บัลลังก์อันดับที่หนึ่งนั้นเป็นของเจ้าชายแห่ง Indraprasth (อินทราปัตถ์) หลังจากเป็นเจ้าชายแล้ว ฤกษณะก็ได้เป็นกษัตริย์ และชื่อของฤกษณะก็เปลี่ยนไป แต่มาได้รับยกย่องในฐานะของจักรพรรดิแทน
ธรรมชาติ
1. ในยุคทอง ธาตุทั้งห้าของธรรมชาตินั้นเป็นเครื่องมือแห่งความสุขสำหรับเหล่าเทพ
2. การปรุงอาหารทั้งหลายนั้นทำด้วยพลังแสงอาทิตย์
3. สายลมจะเป็นเช่นพัดลมตามธรรมชาติและเป็นสิ่งบันเทิงสำหรับลูก ลมจะพัด ต้นไม้จะแกว่งไกว กิ่งก้านพลิ้วไหวเป็นเสียงเพลงแห่งธรรมชาติ ณ ที่นั่นไม่มีการใช้พัดลมเพื่อดับคลายร้อน แต่สายลมจะทำหน้าที่รับใช้ลูก จะบรรเลงเพลงธรรมชาติเป็นเพลงแห่งใบไม้ไหวแด่พ่อแม่แห่งโลกซึ่งก็คือลูกๆ นั่นเอง
4. ที่สวรรค์อากาศจะไม่ร้อนหรือหนาว จะเป็นอากาศเหมือนฤดูใบไม้ผลิอยู่ตลอดเวลา ธาตุต่างๆจะอยู่ในระเบียบ
5. ท้องฟ้านั้นอิสรเสรีสำหรับทุกคน เป็นอาณาเขตสำหรับเครื่องบินของลูก จะปราศจากซึ่งอุบัติเหตุใดๆ แม้แต่เครื่องบินของเด็กอายุแปดขวบก็จะไม่ตก
6. ในยุคทอง น้ำ จะทำหน้าที่สร้างกลิ่นหอม น้ำก็จะเต็มไปด้วยพลังงานและสะอาดบริสุทธิ์ จึงมีคำกล่าวว่ามีแม่น้ำของน้ำนมในสรวงสวรรค์ เช่นเดียวกับโลกเก่าที่น้ำนมจะให้พลังงาน สมุนไพรต่างๆ ในแม่น้ำคงคานั้นก็บริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำใดๆ และให้กลิ่นหอมตามธรรมชาติ สาระสำคัญที่น้ำในแม่น้ำคงคาถูกเอามาใช้อาบนั้นก็เพราะเนื่องจากมีแร่ธาตุและสมุนไพรต่างๆที่ไหลมาจากภูเขา ไม่มีแบคทีเรียจึงถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ในความเป็นจริงแม่น้ำคงคาไม่สามารถจะชำระผู้ใดให้บริสุทธิ์ได้ ในยุคทองบนภูเขาต่างๆจะมีสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมทำให้น้ำที่ไหลลงมามีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ไม่มีสิ่งแปลกปลอม แม่น้ำทุกสายจะสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะ ไม่มีเหตุอันใดที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ไม่บริสุทธิ์ ณ ที่นั้น ทุกสิ่งคงอยู่อย่างบริสุทธิ์
7. ผืนดินที่บริสุทธิ์จะทำให้ผลไม้มีคุณภาพและรสชาติดีเลิศอย่างที่ลูกปรารถนา ไม่ต้องมีเกลือหรือน้ำตาล เมื่อต้องการทำให้อาหารมีรสเปรี้ยวก็เพียงแต่เติมมะเขือเทศลงไปก็จะทำให้อาหารนั้นมีรสเปรี้ยวได้ตามธรรมชาติ ผลไม้ต่างๆ จะทำให้รสชาติอาหารอร่อยได้ตามที่ลูกต้องการ ผืนดินจะรับใช้ลูกด้วยการสร้างผลไม้และธัญพืชชนิดที่ดีเลิศ ลูกจะมีผลไม้ตามธรรมชาติอย่างหลากหลายที่จะทำให้เกิดรสชาติต่างๆ ไม่มีโรงงานน้ำตาล จะมีผลไม้ที่เป็นน้ำตาล ลูกจะไม่ทำแกงจากผักสีเขียว แต่จะทำจากผลไม้และดอกไม้ต่างๆ มีผลไม้ซึ่งให้น้ำผลไม้ตามธรรมชาติเอาไว้สำหรับรับประทานและดื่ม ผลไม้ทุกๆ ชนิดจะอุดมสมบูรณ์ ลูกไม่ต้องใช้ความพยายามในการคั้นน้ำผลไม้ เพียงลูกเก็บมันมาและบีบเบาๆ น้ำผลไม้ก็จะไหลออกมา
8. ทิวทัศน์แห่งธรรมชาติก็จะสวยงาม ภูเขาจะไม่สูงชันและมีรูปลักษณ์ที่หลากหลายงดงามตามธรรมชาติ บ้างเป็นรูปนก บ้างเป็นรูปดอกไม้ ธาตุทั้งห้าของธรรมชาติจะรับใช้ลูก
9. ทุกวันนี้พวกมนุษย์สร้างเสียงเพลงขึ้นเอง ส่วนในสวรรค์นั้นเสียงของนกร้องจะเป็นบทเพลงที่ไพเราะหลากหลาย เหมือนกับเป็นของเล่นที่มีชีวิต เหล่านกจะร่ายรำให้ลูกชม ทุกวันนี้ผู้คนได้พยายามผลิตของเล่นกันออกมาอย่างหลากหลาย ณ ที่นั้นเมื่อใดที่ลูกให้สัญญาณ เหล่านกก็จะให้ความบันเทิงแก่ลูกด้วยเสียงเพลงที่ไพเราะและการแสดงที่สวยงาม
10. สวรรค์นั้นจะเป็นสถานที่ให้ความบันเทิง ปัจจุบันนี้ผู้คนต่างมาเพื่อที่จะมาชมความงามที่ไมซอร์ (Mysore) ในสวรรค์นั้นมีความงดงาม มีสายลมและน้ำตกที่สวยงาม ไม่มีการเปิดเพลงเพื่อที่จะปลุกลูกในอมฤตเวลา แต่จะมีเสียงเพลงที่แสนหวานของนกต่างๆ ที่จะปลุกให้ลูกตื่น ลูกจะตื่นเช้ามากแต่จะไม่เหนื่อยล้า เวลาของการตื่นนอนของเหล่าเทพที่มีชีวิตนั้นคือเวลาที่ผู้บูชากราบไหว้ได้ทำการบูชากราบไหว้รูปเทพในเวลาเช้าตรู่นั่นเอง ในหนทางของผู้บูชากราบไหว้จะให้ความสำคัญต่อชั่วโมงแห่งน้ำทิพย์ ลูกไม่ต้องทำงานหนักใดๆ จะไม่มีงานที่หนักและงานที่ต้องใช้สมอง ลูกจะไม่มีภาระใดๆ การตื่นหรือการนอนหลับจะเป็นสิ่งเดียวกัน
11. ในยุคทอง จะไม่มีใครตื่นขึ้นมาในอมฤตเวลาเพื่อมานั่งสมาธิ เพราะว่าพวกเขาได้รับพลังของโยคะเรียบร้อยแล้ว เหมือนกับลูกได้ศึกษาเล่าเรียนตามหลักสูตรการศึกษาจนสอบผ่านทั้งหมดแล้ว
12. ณ ที่นั้น แม่น้ำจะเต็มเปี่ยมและมีธัญพืชมากมาย แต่ที่นี่มนุษย์ต้องสร้างเขื่อนใหญ่และขุดคลองเพื่อรองรับกับประชากรที่เฝ้าแต่เพิ่มมากขึ้น ในยุคทองตอนเริ่มต้นจะมีประชากรเพียง 900,000 คน และจะไม่มีแผ่นดินอื่น ลูกไม่จำเป็นที่จะต้องไป ณ ที่ใด อากาศจะเป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา ธาตุต่างๆ จะไม่เคยสร้างปัญหาให้กับลูก จะอยู่ในระบบระเบียบเสมอ และลูกจะเป็นนายเหนือวัตถุ
13. จะมีต้นไม้ต่างๆ ที่งดงามมากในสวรรค์ ป่าจะเต็มไปด้วยสรรพสิ่งที่เป็นประโยชน์ ลูกจะต้องใช้ไม้ ทุกสิ่งจะอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์และนกต่างๆ อาศัยอยู่ในป่าเพื่อเพิ่มความงามให้แก่ป่า พวกมันจะไม่สร้างสิ่งสกปรกใดๆ แผ่นดินนั้นจะบริสุทธิ์สมบูรณ์ ทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นก็จะบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน
14. ในยุคทองทุกสิ่งจะให้ความสุข ไม่มีพายุไต้ฝุ่นหรือลมร้อน ไม่เหมือนเช่นปัจจุบันที่ธาตุทั้งมวลได้กลายมาเป็นศัตรูกับลูก มีแผ่นดินไหวและพายุเฮริเคน แต่เมื่อใดที่โลกเก่าถูกทำลายด้วยความหายนะแห่งภัยทางธรรมชาติแล้ว โลกใหม่ก็จะเกิดขึ้น
15. มีประชากรน้อยมาก ผู้คนจะงดงามตามธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำหอมหรือเครื่องหอม แต่ละคนก็จะมีสวนดอกไม้ชั้นเยี่ยมที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ จะไม่มีสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดปัญหา
16. มีทรัพย์สมบัติมากมายในสวรรค์ เต็มไปด้วยเหมืองเพชรและอัญมณี เพราะแผ่นดินเก่าได้จบสิ้นลงแล้วพลังต่างๆไม่หลงเหลืออยู่ เป็นความแตกต่างราวกลางวันกับกลางคืน แตกต่างระหว่างดอกไม้และผลไม้ในสวรรค์กับดอกไม้และผลไม้ในโลกเก่า ที่นี่ไม่ว่าจะนำเมล็ดพันธ์หรือสิ่งอื่นจากอเมริกามาปลูก ต้นไม้ก็ไม่สามารถจะผลิตรสชาติใดๆได้ แต่สำหรับแผ่นดินใหม่จะอุดมสมบูรณ์โดยไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด วัตถุธาตุจะบริสุทธิ์ ดังนั้นสรรพสิ่งจึงบริสุทธิ์
17. ในสวรรค์นั้นทุกสิ่งอุดมสมบูรณ์ ที่นี่ 80-90 ปีมาแล้ว ข้าวมีราคา 10 – 12 แอนนาต่อหนึ่งกระสอบ ลองจินตนาการดูว่าข้าวนั้นเคยมีราคาถูกเพียงใดก่อนหน้านั้น ในยุคทองข้าวจะถูกและดีมาก
18. วันนี้แผ่นดินได้กลับมาแห้งแล้ง พืชพันธุ์เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ยุคทองแผ่นดินทั้งหมดอุดมสมบูรณ์ ดาวเคราะห์และมหาสมุทรทั้งมวลเป็นของลูก ไม่มีการแบ่งแยก ลูกจะได้รับประทานอาหารที่บริสุทธิ์ยิ่ง ประชาชนถูกเรียกว่าไวชนาฟ (Vaishnavs) ผู้สืบสกุลของวิษณุที่บริสุทธิ์ ยุคทองถูกเรียกขานว่าโลกที่บริสุทธิ์ ความตระการตาแห่งสวรรค์นั้นหาไม่ได้ ณ โลกเก่านี้
19. เหล่าเทพนั้นเป็นผู้ที่รับประทานน้อย ไม่มีความละโมบใดๆ แม้จะมีอาหาร 36 ชนิดเตรียมไว้ให้ ในยุคทองไม่มีป่าที่กว้างใหญ่และไม่มีภูเขามากมาย เหมือนเป็นสถานที่จำลองของสวรรค์ ในความเป็นจริงสวรรค์นั้นมีขนาดเล็ก โลกที่ขยายอาณาเขตออกมากว้างใหญ่อย่างที่ลูกเห็นในวันนี้นั้นกำลังจะไปอยู่ใต้มหาสมุทร มหาสมุทรจะกลืนกินมันเข้าไป ธาตุต่างๆ จะหลอมเข้าไปรวมกับธาตุของมันเอง แผ่นดินจะหลอมรวมสู่แผ่นดิน โลกและวัตถุธาตุจะกลับมาบริสุทธิ์สมบูรณ์และมีความงดงามตามธรรมชาติ
20. ในยุคทอง เหล่านกต่างๆจะสวยงามเป็นหนึ่ง มนุษย์เป็นเช่นใดสิ่งแวดล้อมก็จะเป็นเช่นนั้น ผลไม้จะมีรสชาติอร่อย ผลใหญ่หวาน ยุคทองนั้นทุกสิ่งที่ลูกได้รับจะชั้นหนึ่ง ภารัตจะกลายเป็นดินแดนนกกระจอกทองคำ
21. ที่นั่นไม่มีขยะ วัวก็จะสมบูรณ์ชั้นหนึ่ง แต่ฤกษณะไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงพวกมัน นมจะถูกส่งให้โดยเฮลิคอปเตอร์ จะไม่มีสัตว์ชนิดใดที่นำมาเลี้ยงไว้ในบ้าน
22. เป็นกฎที่ว่าในยุคทองจะไม่มีสัตว์ชนิดใดที่ให้ความทุกข์ แม้สัตว์ก็ให้ความสุขแก่กันและกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการกล่าวว่าสิงโตกับแกะดื่มน้ำด้วยกันได้ นั่นคือที่ๆ ไม่มีความทุกข์อย่างแท้จริง
23. ทุกๆ สิ่งผลิดอกบาน ไม่มีหนามใดๆ สถานที่ทั้งหมดคือสวน พวกเขาจะไม่สุมไฟกลางแจ้ง เพราะว่าการเผาไม้จะทำให้เกิดควันซึ่งจะก่อให้เกิดความทุกข์
วิทยาศาสตร์ และ พระราชวัง
1. เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเหล่านี้ได้พัฒนาและทำให้ประณีตมากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งนี้จะนำไปใช้ในยุคทอง ลองจินตนาการดูว่าจะใช้เวลาเท่าใดในการสร้างพระราชวังที่นั่น พระราชวังทองคำนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาในชั่วพริบตา
2. วิทยาศาสตร์จะให้ประโยชน์สูงสุดในยุคทอง ปัจจุบันนี้ สติปัญญาของลูกกำลังจะกลับมาสูงส่ง ดังนั้นจะใช้เวลาไม่นานที่จะสร้างทุกสิ่งที่นั่น ที่นี่มีก้อนอิฐที่ทำจากดินเหนียว ที่นั่นจะมีอิฐที่ทำด้วยทองคำ มันถูกเรียกว่ายุคทอง แม้โลกเก่านี้เหรียญทองจะมีค่ามาก แต่ที่นั่นมันไม่มีค่าอันใด
3. วิทยาศาสตร์นั้นคือสิ่งมหัศจรรย์แห่งสติปัญญาซึ่งทำให้ผู้คนสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆได้ พวกเขาสร้างเครื่องบิน ฯลฯ เพื่อให้ความสุข ศิลปะแห่งการให้ความสุขเหล่านี้ยังคงอยู่ในดินแดนของภารัต แต่ศิลปะแห่งการให้ความทุกข์ ศิลปะของการฆ่าและการทำลาย ฯลฯ จะสูญหายไป
4. อุปกรณ์ที่ให้แสงสว่างในยุคทองนั้นจะไม่มีใครสามารถมองเห็นแหล่งที่มาของแสงได้ ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ พวกเขากำลังสร้างมันขึ้นมา
5. ณ ที่นั่นเครื่องบินจะไม่มีการขัดข้องเสียหาย เด็กๆ จะบริสุทธิ์มาก ด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดพวกเขาสามารถจะขับเครื่องบินได้อย่างง่ายดาย และบินไปที่ใดก็ได้ตามที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนใดๆในสวรรค์ การฝึกฝนนั้นคิดค้นกันขึ้นมาเมื่อมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นแล้วนั่นเอง
6. ในโลกเก่า ลูกต้องเดินทางไปมาโดยรถไฟ แต่ในพระราชวังของลูก จะมีเครื่องบินให้หลายชนิดลูกไม่ต้องรอคนขับ เพราะแม้ลูกจะมีอายุน้อยลูกก็สามารถจะขับเครื่องบินได้ เพียงแต่กดปุ่มแล้วก็บินไป ไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เมื่อสถาปนิกของโลกเป็นผู้ออกคำสั่ง เครื่องบินและพระราชวังก็จะเสร็จเรียบร้อยในทันใด พร้อมทั้งสวรรค์ก็จะเสร็จสมบูรณ์ แต่บัดนี้ลูกต้องพร้อมก่อนเป็นอันดับแรก
7. ในโลกเก่านี้ ผู้คนจะใช้กระจกมากมายเพื่อมาสร้างวัตถุต่างๆให้ดูสวยงามโดดเด่น ในพระราชวังของพวกราชวงศ์ก็จะประดับประดาไปด้วยแสงไฟที่ผลิตจากกระแสไฟฟ้า และดวงไฟที่สร้างรูปแบบกันขึ้นมาหลากหลาย แต่สำหรับในสวรรค์ พระราชวังของทุกคนจะถูกตกแต่งไปด้วยแสงสีที่แตกต่างไปจากโลกเก่า จะมีเพชรพลอยประดับอยู่ยอดของพระราชวัง ปรากฏแสงสาดส่องระยิบระยับด้วยแสงของทองคำและแสงแห่งเพชรที่เปล่งประกายกลมกลืนอยู่ด้วยกัน พระราชวังจะปรากฏให้เห็นอย่างสว่างไสว รังสีของพระอาทิตย์จะสัมผัสกับเหล่าเพชรพลอยและทองคำ และสะท้อนออกมาราวกับมีแสงไฟนับพันๆดวงกำลังทำงานอยู่ ไม่ต้องมีการวางสายไฟแต่อย่างใด ที่นั่นจะใช้เพชรแท้ๆ ประดับประดาพระราชวัง เพชรเพียงหนึ่งเม็ดจะสร้างแสงให้ปรากฏได้เหมือนกับแสงจากแรงเทียนนับเป็นพันๆเล่ม สิ่งเหล่านี้ลูกไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด เพราะทุกๆ สิ่งที่ปรากฏที่นั่นเป็นธรรมชาติ
8. เพชรแต่ละเม็ดจะเปล่งแสงออกมามากมายและน่าอัศจรรย์ ในพระราชวังของลูกจะมีเพชรที่มีแสงถึงเก้าสีซึ่งจะก่อให้เกิดการผสมผสานของเฉดสีและแสงที่สุดแสนจะพิเศษ พระราชวังแต่ละแห่งจะประดับประดาไปด้วยทองคำ เงิน เพชรและพลอย หลังคาจะมุงด้วยเพชรเช่นเดียวกับกำแพง ภารัตจะถูกเรียกว่าเป็นโลกแห่งเพชร
9. จะใช้เวลาไม่นานในการสร้างโลกใหม่ หากสถานที่ใดในโลกเก่านี้ถูกแผ่นดินไหว บริเวณนั้นจะถูกสร้างขึ้นใหม่ภายในสองหรือสามเดือนเพราะมีเครื่องมือที่เพียงพอ บ้านและสิ่งต่างๆจะถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ลูกสามารถสร้างอาคารได้ภายในหนึ่งเดือนก็เพราะมีผู้ก่อสร้างและมีวัสดุให้มากมาย เช่นในต่างประเทศซึ่งมีเทคนิคการสร้างบ้านโดยการสร้างชิ้นส่วนไว้ก่อน แล้วและนำมาประกอบด้วยเครื่องจักร ในสวรรค์นอกจากจะก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีทองคำ เงินและเพชรพลอยจากเหมืองให้ได้ใช้อย่างมากมาย ธาตุทั้งห้าจะมารอเพื่อรับใช้ลูก จะไม่มีภัยธรรมชาติใดๆ เกิดขึ้น
10. โลกเก่านี้ พระราชวังจะถูกสร้างให้มีหลายชั้น แต่ในยุคทองพระราชวังไม่มีแม้แต่ชั้นที่สอง ที่ต้องมีหลายชั้นก็เพราะมีที่ดินไม่เพียงพอและราคาของที่ดินก็แพงมาก ในยุคทองประชาชนแต่ละคนจะมีที่ดินมากเท่ากับหมู่บ้านหนึ่งของอาบู(Abu) พระราชวังของเหล่าเทพนั้นจะใหญ่มากและไม่ต้องกลัวเหตุใดๆ ยุคทองนั้นได้รับการกล่าวขานว่า ชีวาลายา(Shivalaya) เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าชีว่า
11. ทุกๆ สิ่งนั้นจะใหม่ มีทองคำอยู่อย่างไม่จำกัด สามารถนำออกมาจากเหมืองได้อย่างง่ายดายเพื่อก่อสร้างอาคารทั้งหลาย ที่นั่นทุกสิ่งสร้างด้วยทองคำ พระราชวังต่างๆ จะถูกสร้างด้วยอิฐทองคำแท้ ที่นั่นไม่มีของปลอม ทุกสิ่งล้วนเป็นของแท้ ของปลอมทั้งหมดถูกกลืนกินอยู่ใต้ดินระหว่างการทำลายล้าง
12. แล้วใครจะเป็นผู้ที่ตัดเพชรซึ่งจะนำมาประดับประดาพระราชวังทั้งหมดเหล่านี้เล่า? นักตัดเพชรในภารัตนั้นมีความชำนาญมาก พวกเขาจะพัฒนาให้ชำนาญมากขึ้นๆ และจะนำความชำนาญนี้ไปกับพวกเขาด้วยและมาเป็นคนงานในยุคทอง พวกเขาจะเป็นผู้เจียระไนเพชรแท้ลงบนมงกุฎได้อย่างยอดเยี่ยมละสลวย ฯลฯ
13. ทุกวันนี้ลูกจะไม่ได้พบเห็นบ้านที่สร้างขึ้นมาจากทองคำ แต่ในโลกใหม่ทุกสิ่งจะใหม่และชั้นหนึ่ง
การปกครองอาณาจักร
1. ในยุคทองจะมีการปกครองโดยราชวงศ์ของศรีลักษมีและศรีนารายัญ เหมือนกับที่โลกของคริสต์เตียนนั้นก็มีกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่หนึ่ง, เอ็ดเวิร์ดที่สองและที่สาม ในทำนองเดียวกัน ในยุคทองจะมีลักษมีและนารายัญราชวงศ์ที่หนึ่ง, ราชวงศ์ที่สอง, ที่สาม ไปจนถึงราชวงศ์ที่แปด
2. ทุกคนมีความสงบสุขภายใต้การปกครองของกษัตริย์หนึ่งเดียวในยุคทอง ผู้ปกครองมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีคณะรัฐมนตรี แต่ละคนมีอาณาจักรเป็นของตนเอง จะมีอาณาจักรย่อยเล็กๆ ด้วยเช่นกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐมนตรีหรือเลขาส่วนตัวใดๆ เพราะว่าเหล่าเทพนั้นไม่จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากใคร จวบจนเมื่อพวกเหล่าเทพเริ่มมาสู่ความไม่บริสุทธิ์ในช่วงยุคทองแดงพวกเขาจึงต้องการที่ปรึกษา
3. ณ ที่นั่น ท้องพระโรงจะใหญ่มากเพื่อให้กษัตริย์ทั้งหมดมาพบปะกัน แต่จะไม่เรียกว่าการชุมนุมของบุรุษ เพราะเป็นท้องพระโรงของอาณาจักรลักษมีและนารายัญ ประชาชนผู้มั่งคั่งจะได้รับการเชื้อเชิญเป็นบางครั้งบางคราว
4. ในยุคทอง จะมีเสียงเพลงบรรเลงอย่างสม่ำเสมอภายในพระราชวังของลูก ไม่มีความทุกข์ใดๆ ภายนอกพระราชวังของกษัตริย์จะมีเพลงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง ท่านมีความยิ่งใหญ่อย่างมาก
5. ราชวงศ์นั้นไม่จำเป็นต้องหารายได้แต่อย่างใด ประชาชนจะเป็นผู้หารายได้ แต่มีความแตกต่างระหว่างประชาชนด้วยกัน บางคนร่ำรวยมั่งมี บางคนฐานะธรรมดา แต่ว่าจะไม่มีผู้ใดที่ยากจน
6. มีผู้ทำธุรกิจเปิดร้าน แต่ไม่มีสมุดบัญชี มีหลักพื้นฐานคือการให้และการรับในระหว่างครอบครัว ภายในครอบครัวมีกฎว่าหากผู้ใดมีของมาก ผู้นั้นก็จะแจกจ่ายให้กับผู้อื่น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของบัญชีรายจ่ายและรายรับ จะมีการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ทุกสิ่งดำเนินไปได้อย่างดี เช่นเดียวกับในมธุบัน บางคนรับผิดชอบในเรื่องเสื้อผ้า บางคนรับผิดชอบในเรื่องข้าว ไม่มีใครต้องให้เงินใคร แต่มีเพียงผู้ดูแล เหมือนที่เป็นเช่นเดียวกับในยุคทอง จะมีทุกสิ่งมากมายและหาได้ตามที่ลูกต้องการ เป็นระบบที่ทำให้ทุกคนไม่อยู่ว่าง เหมือนกับการเล่นเกม ไม่มีใครจะต้องดูบัญชีของผู้ใด ยุคทองหมายถึงการรับประทาน ดื่มและสนุกสนานรื่นเริง ลูกจะไม่สนใจกับคำว่า “ความปรารถนา” ที่ใดก็ตามที่มีความปรารถนา มันหมายถึงมีบัญชีที่จะต้องเก็บรักษา มีการขึ้นและลงตามความปรารถนา ไม่มีความปรารถนาและไม่มีสิ่งใดขาดแคลน มีแต่ความสำเร็จผลทั้งมวล ณ ที่นั่น ทุกคนสมบูรณ์พร้อมและมีหัวใจที่เต็มเปี่ยม วัตถุธาตุรับใช้ทุกคน มีมากมายจนไม่สามารถจะใช้ได้หมด ลูกเพียงแต่มองดูมัน
7. จะมีสัญลักษณ์บนเงินตรา แต่จะไม่เหมือนของทุกวันนี้ รูปร่างและแบบจะเปลี่ยนไป มันถูกออกแบบมาดีมาก เอาไว้เพื่อจ่ายและรับแค่เพียงในนามเท่านั้น ทั้งหมดนั้นจะเป็นระบบครอบครัว ไม่มีสำนึกของการเป็นนักธุรกิจและลูกค้า ไม่มีทัศนคติของการเป็นเจ้าของ แต่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน มีการให้และรับ ไม่มีใครที่จะขาดแคลนสิ่งใด แม้แต่ประชาชนก็ไม่ขาดแคลนสิ่งใด ประชาชนจะมีมากเกินความต้องการในการดำรงชีพหลายล้านเท่า ดังนั้นความคิดของการเป็นเจ้าของและลูกค้าจะไม่เกิดขึ้น จะเป็นการให้และรับด้วยความรัก ไม่มีการจดทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น
8. แม้สาวใช้และคนรับใช้ของกษัตริย์ก็จะได้รับความสุขอย่างมาก พวกเขาอาศัยอยู่และรับประทานอาหารเช่นเดียวกับกษัตริย์และราชินี แต่ก็เรียกว่าสาวใช้และคนรับใช้ บรรดาสาวใช้นั้นก็ต่างลำดับกันไป บางคนเป็นผู้แต่งตัวให้ผู้ปกครอง บางคนดูแลเด็กๆ บางคนกวาดพื้น แม้แต่ในโลกเก่านี้ยังมีคนรับใช้มากมายให้กับกษัตริย์ ดังนั้นในสวรรค์นั้นจะมีคนรับใช้อยู่มากมายเพียงใด ทุกคนจะมีพื้นที่ที่รับผิดชอบของตนเอง ในหมู่สาวใช้และคนรับใช้ก็จะมี ผู้อาวุโสและผู้อ่อนอาวุโส (seniors and juniors) พวกเขาจะอาศัยอยู่ในที่พักที่แยกกัน ซึ่งจะไม่ได้รับการประดับประดามากเท่ากับพระราชวังของกษัตริย์และพระราชินี
9. จันทรวงศ์นั้นไม่ได้ครอบครองอาณาจักรมาด้วยการรบพุ่ง และมีชัยชนะเหนือเหล่าเทพแห่งสุริยวงศ์ในยุคทองแต่อย่างใดไม่ กษัตริย์แห่งจันทรวงศ์เข้ามาปกครองด้วยการที่กษัตริย์และราชินีแห่ง สุริยวงศ์ได้มอบบัลลังก์และตีลัคแห่งโชคของอาณาจักรให้ กษัตริย์และพระราชินีแห่งสุริยวงศ์ได้ล้างเท้าและมอบตีลัคแห่งการปกครองแก่พวกเขา และได้รับการขนานนามว่ากษัตริย์รามและพระราชินีสีดา แล้วใครเป็นผู้มอบชื่อนี้แก่พวกเขา? มีการกล่าวไว้ว่าสุริยวงศ์ได้ส่งมอบตำแหน่งนั้นด้วยการพูดว่า “บัดนี้ถึงคราวที่ท่านจะต้องกลับมาปกครอง” ภายหลังอาณาจักรสุริยวงศ์ อาณาจักรก็ถูกส่งมอบให้แก่รามแห่งจันทรวงศ์ กษัตริย์ได้ก้าวลงจากตำแหน่งและราชวงศ์ทั้งหมดก็ก้าวตามลงมาทั้งกษัตริย์ พระราชินีและประชาราษฎร์ทั้งหมด สุริยวงศ์นั้นคงอยู่เป็นระยะเวลา 1250 ปี หลังจากนั้นก็เป็นยุคของจันทรวงศ์ และหลังจากสิ้นสุดยุคของจันทรวงศ์ก็จะตามมาด้วยราชวงศ์พ่อค้า
ประชากร และช่วงเวลาของยุคทอง
1. ในยุคทอง จำนวนประชากรนั้นน้อยมาก ในตอนสุดท้ายของยุคเหล็กนั้นมีประชากรถึง 6 พันล้าน และตอนเริ่มต้นของยุคทองมีเพียง900,000 หลังจากนั้นประชากรก็เพิ่มขั้นอย่างช้าๆ
2. พวงประคำของ 16,108 นั้นได้รับการสรรเสริญ เป็นพวงประคำอันใหญ่ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าในตอนสุดท้ายของยุคเงินจะมีเจ้าชายและเจ้าหญิง16,108 พวกเขาทั้งหมดไม่ได้มาในตอนเริ่มต้น เริ่มแรกนั้นจะมีเพียงเล็กน้อย และแล้วจำนวนก็จะเพิ่มขึ้นในภายหลัง
3. ได้มีบทเพลงขับขานว่ามีเหล่าเทพถึง 330 ล้าน แต่ว่าจำนวนที่มากมายเช่นนั้นไม่สามารถอยู่ในยุคทองและยุคเงินได้ แต่หมายถึงจำนวนประชากรของราชวงศ์ทั้งหมดของเหล่าเทพในภารัตทั้งหมด
4. เมื่อศรีลักษมีและนารายัญได้ปกครองภารัต ต้องมีการระบุวันที่ วันเวลาของพวกเขาหมายถึงวันเดือนปีของสวรรค์ วันเวลาของลักษมีและนารายัญได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ5000ปี มาแล้ว ลูกสามารถลบออก40หรือ50 ปี วันที่ของรามและสีดาเริ่มขึ้นเมื่อ 3,750 ปีมาแล้ว หลังจากราชวงศ์ของพวกเขาได้ผ่านไป วันเวลาของ กษัตริย์วิกรัม (Vikram) ก็เริ่มต้นขึ้น (500 ปีก่อนคริสตกาล) วันเวลาที่กำหนดไว้ให้แก่กษัตริย์วิกรัมนั้นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน มีหลายปีที่ผิดพลาดไป พวกเขาได้เริ่มต้นวันที่ของพวกเขาจาก 2000 ปี มาแล้ว แต่มันควรจะเป็น 2,500 ปี
5. ยุคทองและยุคเงินได้ถูกบรรยายไว้ในฐานะเป็นเสาหลักที่เป็นอิสระจากความทุกข์โศก เพราะไม่มีความทุกข์ใด ณ ที่นั่น ในขณะที่โลกเก่านี้ ไม่มีแห่งหนใดเลยที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์โศกไปได้
โอม ชานติ
จดจำไว้ว่า :
ผลลัพธ์นั้นยังไม่ปรากฏออกมา แต่ลูกจะต้องมีเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นที่จะบรรลุถึงสถานภาพอันสูงส่งในอนาคต เช่นเดียวกับการเล่นเกมเก้าอี้ดนตรี นกหวีดจะถูกเป่าในตอนจบ และเมื่อเสียงนกหวีดครั้งสุดท้ายดังขึ้น ลูกจะรู้ว่าใครคือผู้ชนะ มีสถานภาพและตำแหน่งมากมายในราชตระกูล จะมีเหล่ากษัตริย์และราชินีที่มีค่าเหมาะสมคู่ควรแก่บัลลังก์ เขาจะได้รับสถานภาพและความเคารพนับถือเช่นเดียวกับลักษมีและนารายัญ ดังนั้นลูกจงมีเป้าหมายเพื่อที่จะเป็นกลุ่มแรก การได้เข้ามาสู่ราชตระกูลแรกนั้นหมายถึงลูกก็ได้เป็นเช่นลักษมีและนารายัญ จงทำความเพียรพยายามอย่างถึงที่สุด ลูกยังมีโอกาส!