พลังทั้ง 8 จากราชโยคะ
พลังทั้ง 8 เป็นพลังพิเศษที่ผู้ฝึกฝนราชโยคะจะเกิดขึ้นภายในและสะสมขึ้นทีละเล็กละน้อย จนกลายเป็นพลังที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างในชีวิตได้อย่างมีความสุขสมดุล ประสานกลมกลืน(Harmonize)กับผู้คนและสรรพสิ่งรอบตัว ด้วยการปฏิบัติตามศรีมัตรซึ่งเป็นคำสอนอันสูงส่งของพระเจ้าชีว่า พลังทั้ง 8 เมื่อเกิดขึ่้นในผู้ใดแล้ว พลังนี้จะไม่สามารถซ่อนอยู่ได้ มันเป็นพลังแห่งคุณธรรมและปัญญาญาณที่เกิดกับผู้ฝึกฝน ซึ่งได้นำคำสอนของพระเจ้าเอาไปขัดเกลาจิตใจตนเอง จนกระทั่งตัวของเขากลายเป็นตัวแห่งคุณธรรมที่มีพลังทั้ง 8 เป็นดั่งอาวุธที่ใช้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีศิลปะ พลังนี้เองที่จะดึงดูดผู้อื่นให้อยากเข้ามาสัมผัสใกล้ชิดอยากเรียนรู้และอยากเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นเช่นผู้นั้น
พลังทั้ง 8 ประกอบด้วย
1.พลังของความอดทน (Power Of Tolerance) โดยปกติเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะสามารถควบคุมสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือสถานการณ์ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธได้ ยามที่ถูกเยาะเย้ยถากถาง วิพากวิจารณ์ หรือถูกทำร้าย ยากที่ผู้นั้นจะไม่โต้ตอบใดๆ หรือแม้แต่จะไม่โต้ตอบในความคิดอันละเอียดอ่อน แต่ด้วยพลังแห่งความอดทนที่ได้จากการฝึกฝนราชโยคะ จะทำให้ผู้ฝึกสามารถจะคงอยู่อย่างมีความสุขและสงบได้ บนพื้นฐานของการมีสำนึกเป็นดวงวิญญาณ เข้าใจปรัชญาแห่งกรรม และมีความรู้เรื่องวงจรโลก ละครโลกที่ซ้ำรอยเดิม ความรู้สึกก็จะผ่อนคลายทำให้ผู้นั้นมีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดอยู่เบื้องหน้า และสามารถจะมีความรัก การให้อภัยกับผู้คนต่างๆได้ง่าย สามารถจะมีมุมมองที่เป็นบวก และสอนตนเองได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดี เพียงแต่ต้องมองหาคุณประโยชน์ในเหตุการณ์นั้นๆ
2. พลังในการเผชิญ (Power To Face) เมื่อเข้าใจปรัชญาแห่งกรรม และรู้จักตัวตนที่แท้จริงว่า ตนคือดวงวิญญาณ และมีความรู้ของพระเจ้าอันสูงส่ง จึงทำให้ผู้ฝึกฝนจะเข้าใจอุปสรรคต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่าไม่มีสิ่งใดใหม่ ทุกอย่างซ้ำรอยเดิมและเกิดซ้ำๆทุกกัลปะ จึงสามารถจะยิ้มรับทุกๆสถานการณ์อย่างเข้าใจและมีความสงบได้ สามารถที่จะมองข้ามปัญหาและเผชิญกับความยากลำบากไปได้อย่างเบาสบายด้วยสติปัญญา ปราศจากซึ่งความกลัวใดๆ และให้ประโยชน์กับผู้คนที่พบเจอได้ด้วย
3. พลังในการยอมรับและปรับตัว(Power Of Accommodation) เป็นพลังที่เปิดหัวใจออกให้กว้างขวาง เหมือนดั่งเช่นพระเจ้าชีว่า ที่ท่านเป็นมหาสมุทรแห่งความรักที่กว้างใหญ่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เช่นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล แม้มีสิ่งสกปรกเทลงในมหาสมุทร ก็มิอาจทำให้มหาสมุทรสกปรกไปได้ พระเจ้าชีว่าสอนให้เราอดทนและยอมรับในความอ่อนแอของผู้อื่นเสมอๆ และให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะทุกคนต่างเป็นพี่น้องทางดวงวิญญาณเช่นเดียวกับเรา ความอ่อนแอของผู้อื่นที่เราประสบพบอยู่ก็เนื่องจาก ผู้นั้นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสมายาที่มีอำนาจเหนืออยู่ ดังนั้น เราจะต้องมีพลังควบคุมตนเองที่จะไม่ไปสร้างความขัดแย้งในทุกๆสภาวะ ด้วยความเข้าใจว่าเราควบคุมเพื่อประโยชน์ของตนเองที่จะห่างไกลจากการกระทำบาปซึ่งจะติดตัวเราไปตลอดทั้งวงจร เราควรปฏิบัติตัวให้เป็นเช่น มหาสมุทรสามารถที่จะรองรับ แม่น้ำทุกสายที่จะไหลมาได้อย่างเข้าใจ เมตตาและอ่อนโยน จะไม่ปฏิเสธใคร ๆ หรือสิ่งใด และสามารถจะเปลี่ยนความสัมพันธ์และสภาวะแวดล้อมโดยผ่านพลังของความปราถนาดีแทน
4. พลังของความร่วมมือกับผู้อื่น(Power Of Co-Operation) เมื่อมีมุมมองที่ถูกต้องว่าฉันเป็นดวงวิญญาณ ทุกคนคือพี่น้องทางดวงวิญญาณ ก็จะเกิดทัศนคติของความเป็นพี่น้อง ทำให้เรามองข้ามปัญหาต่างๆไปได้อย่างง่ายดาย การทำงานก็จะเต็มไปด้วยความปรารถนาดีให้อภัย และมีเป้าหมายร่วมกันโดยมีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล เมื่อนั้นก็จะทำให้เกิดความสามัคคี และเป็นพลังภายในของกลุ่ม และด้วยพลังของความร่วมมือนี้ จะทำให้งานใด ๆ ดูง่ายดายและสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
5. พลังแห่งการแยกแยะ(Power To Discern) การเรียนรู้ความรู้อันสูงส่งสัจจะของพระเจ้าชีว่า และนำไปไตร่ตรองขัดเกลาความคิดของตนเองอยู่สม่ำเสมอ จะทำให้ผู้นั้นมีความคิดที่เฉียบคมถูกต้อง เมื่อพบเจอสถานการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน ผู้นั้นก็จะสามารถแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นความจริง สิ่งใดเป็นความเท็จ สิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดเป็นขยะไร้สาระ เมื่อนั้นผู้นั้นก็สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่าเหมาะสม ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ พลังแห่งการแยกแยะนี้จะเป็นเหมือนดั่งเช่น นักดูเพชร ที่สามารถแยกแยะเพชรจริงจากเพชรปลอมได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ผู้ฝึกฝนสามารถรักษาความคิดที่ให้คุณประโยชน์และมีค่าเก็บไว้ และละทิ้งความคิดที่ให้โทษและไม่เป็นประโยชน์ พลังนี้จะได้รับจากการทำสมาธิราชาโยคะเท่านั้น
6. พลังแห่งการตัดสิน(Power Of Judgement) ด้วยการเรียนรู้ซึมซับสัจจะความรู้และคำสอนของพระเจ้าชีว่าทุกวันจากเมอลี จะทำให้ผู้ฝึกฝนมีปัญญากระจ่างชัดแยกแยะสิ่งจริงออกจากสิ่งปลอมได้ดี จึงทำให้มีการตัดสินใจกระทำการใดๆในชีวิตประจำวันอย่างผู้มีสติและปัญญาถูกต้อง รวดเร็วและปราศจากซึ่งอคติ ด้วยมีสำนึกที่เป็นดวงวิญญาณจึงอยู่เหนือผลกระทบอิทธิพลของสถานการณ์และอารมณ์ และความคิดเห็นของผู้อื่น การกระทำสมาธิของราชาโยคะได้สร้างเสริมพลังนี้แก่ผู้ฝึกฝนได้ดี ผ่านการเข้าใจตนเองมากขึ้น และการมองเห็นทุกแง่มุมได้อย่างเข้าใจและมีความสุข
7. พลังแห่งการเก็บสะสมสิ่งดี(Power Of Pack Up) เมื่อเรามีพลังแห่งการแยกแยะและตัดสินที่แม่นยำ การดำเนินชีวิตของเราที่ต้องผ่านผู้คนและประสบการณ์ต่างๆมากมายในแต่ละวัน จะทำให้เราเบาสบายและเลือกเก็บแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์มาใส่จิตวิญญาณของเรา และเพิกเฉยต่อสิ่งที่ไร้สาระ เช่น ไม่ใส่ใจต่อคำติเตียน นินทาให้ร้าย เมื่อเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี เราก็เฝ้ามองหาประโยชน์ที่เราจะเก็บเกี่ยวจากสถานการณ์นั้นได้อยู่เสมอ และชีวิตในแต่ละวันของเราก็จะเบาสบาย สะสมสิ่งที่จำเป็น ไม่หอบหิ้วขยะและสิ่งไร้สาระ หรือความคิดที่ไร้สาระไว้ ซึ่งจะทำให้ฉันเป็นอิสระจากความเหนื่อยอ่อนของจิตใจและร่างกาย พลังนี้จะนำให้ผู้ที่เก็บสะสมแต่สิ่งดีในแต่ละวัน ไปสู่ความสุขสมบูรณ์พร้อมในอนาคตได้
8. พลังแห่งการละวางถอดถอนตนเอง(Power To Withdraw) ขณะที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ความยุ่งยากในภารกิจการงานมักจะดึงเราเข้าสู่กระแสเช่นนั้นเสมอ แต่การฝึกฝนราชาโยคะจะทำให้ผู้ฝึกมีสมาธิอยู่กับคำสอนของพระเจ้าได้ การไตร่ตรองสัจจะที่ได้จากดวงวิญญาณสูงสุดจะทำให้เข้าใจทั้ง อดีต ปัจจุบันและอนาคต มั่นในความรู้เรื่องวงจรโลกและปรัชญาแห่งกรรม แม้ต้องปฏิบัติภารกิจเราก็สามารถจะดึงความคิดให้กลับไปสู่สมาธิกับพระเจ้าและความรู้ได้บ่อยมาก และฝึกฝนที่จะกลับเข้าสู่สภาวะความสงบดั้งเดิมภายในด้วยตระหนักรู้ว่าเป็นจิตวิญญาณ และกำลังเล่นละครโลก ด้วยวิธีนี้ความคิดเช่นนี้จะเหมือนดั่งเบรครถ คอยเตือนให้เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่เหมาะสม ดังเช่น คำสอนที่่ว่า อย่าฟังสิ่งที่ไร้สาระ อย่ามองสิ่งที่ไร้สาระ อย่าพูดสิ่งที่ไร้สาระ เมื่อนั้นเราจะไม่สูญเสียพลังในการเพ่งรวม และเป็นการควบคุมพลังสมาธิไว้ได้อย่างแท้จริง
พลังทั้ง 8 นี้จะเกิดขึ้นและนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตนั้น ผู้ฝึกฝนต้องนำความรู้และสัจจะของพระเจ้านำมาไตร่ตรองอยู่เสมอ พร้อมทั้งนำพลังเหล่านี้มาทดลองใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงแต่รู้ว่าพลังนี้คืออะไรบ้าง แต่สำคัญที่จะต้องเข้าใจว่าสถานการณ์ใดควรจะใช้พลังใด และใช้อย่างไรให้เหมาะสมด้วย และขณะที่ใช้พลังต่างๆก็ควรอยู่ในสำนึกของการเป็นดวงวิญญาณ และคิดถึงพระเจ้าชีว่าเสมอๆ