อาหารที่เรากินเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย
เหมือนเช่น น้ำมันที่ถูกเผาไหม้แล้วก็จะแปลงสภาพไปเป็นความร้อนและแสงไฟ
พลังงานที่กลั่นออกมาจากอาหารนั้นสุดท้ายก็จะถูกใช้ไปสู่หนทาง 3 ทางคือ
ข้อที่หนึ่ง เรานำพลังงานนั้นไปใช้โดยเปล่าประโยชน์สิ้นเปลือง
ข้อที่สอง เรานำพลังงานไปใช้เพื่อการทำงานหรือสร้างผลผลิตต่างๆในชีวิตประจำวัน
และข้อสุดท้ายมีความสำคัญที่สุดคือ การนำพลังงานจากอาหารมาใช้เพื่อการเพ่งรวมสมาธิ ดังนั้นเมื่อผู้ฝึกราชโยคะสามารถรักษาพรหมจรรย์ได้แล้วแต่ยังไม่อาจเพ่งรวมสมาธิได้ นั่นเพราะว่ามีทั้งตะเกียงและน้ำมันแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ถูกจุดให้ไฟติดขึ้น ซึ่งคุณภาพของน้ำมันก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน น้ำมันที่ไม่บริสุทธิ์เมื่อเผาไหม้จะก่อให้เกิดคาร์บอน(เขม่าดำ)ขึ้น ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนจะต้องกินอาหารที่บริสุทธิ์ หากอาหารที่ไม่บริสุทธิ์หรือตระเตรียมอาหารในขณะที่มีสำนึกไม่บริสุทธิ์ และกินอาหารโดยไม่ได้มีการคิดถึงดวงวิญญาณสูงสุดแล้ว ทุกวันที่ผ่านไปเราก็สร้างได้เพียงพลังงานธรรมดา มิใช่พลังงานบริสุทธิ์แต่อย่างใด พลังงานเช่นนี้เราไม่สามารถนำมาใช้ในการเพ่งรวมสมาธิได้ มันไม่ช่วยให้เราจดจำดวงวิญญาณสูงสุดได้ ดังนั้นอาหารที่บริสุทธิ์จึงเปรียบเหมือนน้ำมันที่บริสุทธิ์ที่เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดสำหรับการคิดถึงและมีโยคะกับพ่อผู้บริสุทธิ์ได้
การที่เราจะทำสมาธิได้อย่างสมบูรณ์นั้น จิต(Mind) และ สติปัญญา(Intellect) จะเข้าถึงสภาวะที่ไร้ร่างกายหรือสภาวะแห่งจุดแสงได้ จะต้องมี ความบริสุทธิ์ในดวงวิญญาณ เสียก่อน ซึ่งความบริสุทธิ์ในดวงวิญญาณนั้นจะต้องตรวจสอบกับความบริสุทธิ์ 2 แบบ เพื่อดูว่าเรามีความพร้อมที่จะทำให้ดวงวิญญาณของเราบริสุทธิ์ได้จริงหรือไม่ ซึ่งความบริสุทธิ์ 2 แบบที่ต้องตรวจสอบตนเองก็คือ
1. ความบริสุทธิ์ทางร่างกาย
2. ระดับความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ
พลังความบริสุทธิ์ทางร่างกายนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำสมาธิ พระเจ้ากล่าวว่า ผู้ที่รักษาพรหมจรรย์หรือความบริสุทธิ์ทางร่างกายได้เท่านั้นจึงจะมีสมาธิที่สมบูรณ์พร้อมได้ ถ้าเราไม่บริสุทธิ์ทางร่างกายแล้วเราก็ไม่สามารถจะเดินทางไปยังโลกแห่งวิญญาณ(ดินแดนนิพพาน) แม้ว่าเราจะมีความรู้ที่กระจ่างชัดเพียงใด แต่ขาดซึ่งพลังที่ใช้สำหรับเดินทาง ตัวเรานั้นก็เปรียบได้กับตะเกียงซึ่งไม่มีน้ำมันที่จะหล่อเลี้ยงเผาไหม้ เราจึงไม่สามารถจะสร้างจุดแสงขึ้นมาได้ แม้จะมีความรู้แต่เราก็ต้องการพลังด้วยเช่นกันที่จะเดินทางไป ณ โลกวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังจากดวงวิญญาณสูงสุด ที่จะทำให้เราสามารถประกาศสิทธิ์ในมรดกของเราได้อย่างเต็มที่
เราอาจบอกว่า “เรารักษาพรหมจรรย์ความบริสุทธิ์ทางร่างกายได้แล้ว และก็มีความรู้ทางจิตดีแล้ว แต่ทำไมเรายังไม่สามารถจะเพ่งรวมสมาธิให้ไปถึงสภาวะที่ปราศจากร่างกายได้ ทำไมล่ะ?” นั่นก็เพราะว่า การรักษาพรหมจรรย์อย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ! เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่สำคัญ อาหารที่เรากินเข้าไปจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย เหมือนกับน้ำมันที่เผาไหม้แล้วก็จะแปลงสภาพเป็นพลังงานความร้อนและแสงไฟ ดังนั้น การจะทำให้ร่างกายของเราเกิดความบริสุทธิ์ได้เบื้องต้น ก็คือการกินอาหารที่บริสุทธิ์ (Sattwic)
มีคำกล่าวว่า “เมื่อเรากินอาหารเช่นไร จิตใจเราก็จะเป็นเช่นนั้น” ผู้ที่ฝึกราชโยคะควรต้องเข้มงวดในความบริสุทธิ์ของอาหารเสมอ เพราะอาหารที่กินเข้าไปจะถูกแปลงไปเป็นพลังงานดังที่กล่าวไว้แล้วนั้น ด้วยพื้นฐานร่างกายของมนุษย์เรานั้นประกอบกันเป็นร่างกายด้วยวัตถุธาตุทั้ง 5 ประการ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟและอากาศธาตุ การที่เรากินเนื้อสัตว์ กระแสแห่งความกลัว ความเศร้า ความโกรธแค้นที่ถูกกระทำโหดร้ายทารุณ รวมถึงกระแสความรู้สึกต่างๆก่อนถูกฆ่าตายจะแผ่ซ่านอยู่ในอณูของเนื้อสัตว์ในรูปของการหลั่งสารเคมีที่เป็นพิษออกมาก่อนตาย และถูกส่งผ่านเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จากการกินเนื้อสัตว์เหล่านั้น กระแสเหล่านั้นจะเข้ามาปั่นป่วนวัตถุธาตุทั้ง 5 ในร่างกายและรบกวนความสงบของจิตของผู้ฝึก การกินเนื้อสัตว์จะเข้าไปกระตุ้นสันสการ์แห่งความโหดร้ายของผู้ที่กิน จะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่รุนแรง เต็มไปด้วยโทสะ หงุดหงิดและความโกรธซึ่งจะเป็นต้นเหตุที่นำพาชีวิตของผู้นั้นไปสู่หายนะมากมายในการดำเนินชีวิตอย่างไม่คาดคิด
นอกจากอาหารที่ไม่บริสุทธิ์จะส่งผลกระทบอย่างละเอียดอ่อนถึงในระดับอณูของร่างกายและจิตแล้ว ยังมีข้อยืนยันด้านสรีระศาสตร์ของมนุษย์ ที่ชี้ชัดว่า โครงสร้างร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะสมต่อการกินเนื้อสัตว์แต่อย่างใด โปรดได้ลองพิจารณาจากโครงสร้างสรีระของสัตว์ในกลุ่มที่กินเนื้อทั้งหมด จะมีโครงสร้างที่เหมือนๆกันคือ มีฟันที่แหลมคม มีลำไส้ที่สั้น มีกรงเล็บและพลังที่สามารถจะตะปบ ตัดและฉีกเนื้อได้ง่าย มีกรามที่ยึดติดตายตัว เช่น กรามเสือ สิงโต หมา ฯลฯ ซึ่งเป็นกรามที่แข็งแกร่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ไม่เหมือนกับกรามของ วัวควาย แพะแกะ ที่จะมีกรามไม่ยึดติดตายตัว สามารถเคลื่อนไหวแบบเคี้ยวเอื้องเคี้ยวหญ้าฟางได้ จะเห็นว่า มนุษย์เราไม่ได้มีโครงสร้างสรีระที่คล้ายกับกลุ่มสัตว์ที่กินเนื้อเหล่านั้นเลยสักประการเดียว มนุษย์เราไม่ได้มีกรงเล็บ หรือฟันที่แหลมคม หรือมีพลังของกรามที่จะขย้ำฉีกเนื้อสัตว์ออกเป็นชิ้นๆได้
ความแตกต่างอีกประการระหว่างสัตว์กินเนื้อและสัตว์กินธัญพืช คือ ขนาดความยาวของสำไส้ มนุษย์เรามีลำไส้ที่ยาวคล้ายกับกลุ่มสัตว์ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ลำไส้ของสัตว์กินเนื้อจะมีความยาวสั้นเพียง 3 เท่าของร่างกายเท่านั้น ธรรมชาติของสัตว์กินเนื้อมีสำไส้ที่สั้นเพราะจะต้องขับถ่ายเนื้อที่เน่าเสียออกจากร่างกายให้รวดเร็วหลังจากกินก่อนที่จะเน่าเสียภายใน ในขณะที่มนุษย์เหมือนกับสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ คือ มีลำไส้ยาวกว่าร่างกายถึง 10-12 เท่า เพราะพืชและผลไม้จะเน่าเสียช้ากว่า และความยาวที่มากกว่านี้ก็เพื่อประโยชน์ในการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายผ่านลำไส้ที่ยาวและถ่ายออกในเวลาเหมาะสม และปัญหาอีกข้อหนึ่ง สำหรับการกินเนื้อสัตว์ ด้วยธรรมชาติมนุษย์มีกระเพาะอาหารที่มีภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อ ดังนั้นเมื่อมนุษย์กินเนื้อสัตว์ กระเพาะจึงย่อยสลายเนื้อสัตว์ได้ยากเนื่องจากกระเพาะถูกออกแบบมาให้มีกรดน้อยกว่ากระเพาะของสัตว์กินเนื้อ ในทางตรงกันข้ามเมื่อกระเพาะมีประสิทธิภาพในการย่อยน้อยกว่า เนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปต่างเต็มไปด้วยสารพิษและเน่าเสียได้อย่างรวดเร็วก็จะยิ่งหมักอยู่ภายในลำไส้ที่มีความยาวและคดเคี้ยวกว่า คนที่กินเนื้อสัตว์มากๆ จึงมักเป็นโรคท้องผูกเพราะเนื้อสัตว์ไม่ค่อยมีกากไฟเบอร์ ทำให้การเคลื่อนไหวทางเดินอาหารเป็นไปอย่างช้ามาก เมื่อการขับถ่ายของเสียขับออกผ่านลำไส้มนุษย์ได้ช้า เกิดความหมักเสียในสำไส้จึงก่อให้เกิดโรคมากมายตามมาในที่สุด ด้วยเหตุนี้ วารสารการแพทย์อเมริกัน (The Journal of The American Medical Association) จึงเคยรายงานยืนยันว่า “การกินอาหารมังสวิรัติสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ถึง 90% – 97%”
อาหารที่บริสุทธิ์นั้นหมายรวมถึง อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ต้นหอม กระเทียม ยาสูบ น้ำเมา เครื่องดื่มกระตุ้นกำลัง และอาหารที่มีรสเผ็ดจัดที่ก่อเกิดอารมณ์รุนแรงต่างๆ ซึ่งยืนยันได้ตรงกันจากการแพทย์จีนโบราณ กล่าวว่า พืชที่มีกลิ่นแรง รสจัดนั้น จะมีสารบางอย่างที่เข้าไปทำลายพลังธาตุทั้งห้าในร่างกายมนุษย์ มีผลทำให้อวัยวะบางส่วนในร่างกายมนุษย์ทำงานผิดปกติ อาทิเช่น
กระเทียม จะไปทำลายธาตุไฟ เป็นเหตุให้ หัวใจทำงานผิดปกติ
หัวหอม หรือต้นหอม จะไปทำลายธาตุน้ำ เป็นเหตุให้ ไตทำงานผิดปกติ
กุยฉ่าย จะไปทำลายธาตุไม้ เป็นเหตุให้ ตับทำงานผิดปกติ
ใบยาสูบ จะไปทำลายธาตุเหล็ก เป็นเหตุให้ ปอดทำงานผิดปกติ
หลักเกียว จะไปทำลายธาตุดิน เป็นเหตุให้ ม้ามทำงานผิดปกติ
หลายคนที่กินเนื้อสัตว์ มักจะบอกว่า ถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วจะไม่มีเรี่ยวแรงปฏิบัติภารกิจประจำวันได้ ในประเด็นนี้อยากให้พิจารณาความจริงดูสักนิดว่า สัตว์ที่ใช้แรงงานมหาศาลทั้งหลาย อาทิ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย แพะ แกะ ลา ฯลฯ ต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำแต่สัตว์เหล่านี้ต่างเป็นสัตว์ที่กินพืช ผักธัญญาหารและหญ้าฟางทั้งสิ้น แล้วเหตุใด มนุษย์เราที่ไม่ได้ทำงานหนักอย่างเช่นสัตว์เหล่านี้ จำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์ด้วย แท้จริงแล้วความเชื่อเรื่อง มนุษย์จำเป็นต้องกินเนื้อนั้น เกิดจากแนวคิดของโลกตะวันตกที่ เผยแพร่ปลูกฝังภายใต้ลัทธิทุนนิยมผลประโยชน์เป็นหลักนั่นเอง
ทำไมผู้ฝึกฝนราชโยคะจึงต้องกินพืชและธัญญาหาร?
สรรพสัตว์บนโลกกายหยาบนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากฐานของวัตถุธาตุทั้ง 5 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และอากาศธาตุ ทั้ง แต่มีความแตกต่างแห่งจุดเริ่มต้นของการกำเนิด ดังนี้
- กำเนิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ พืช และธัญญาหาร ฯลฯ
- กำเนิดจากครรภ์ (มดลูก) เช่น มนุษย์ และสัตว์ ฯลฯ
- กำเนิดจากฟองไข่ และเกิดขึ้นเป็นตัว เช่น สัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน และแมลง ฯลฯ
- กำเนิดจากไคลที่ขึ้น และที่หมักเสีย เน่าเปื่อย เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์ ฯลฯ
ต้นไม้และพืชเป็นกลุ่มมีชีวิตที่มีโครงสร้างทางชีวภาพแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ คือ ไม่มีโครงสร้างร่างกายเหมือนเช่น กลุ่มมนุษย์และสัตว์ มีประสาทการรับรู้ความรู้สึกที่แตกต่าง และไม่มีสมองที่จะคิด ที่จะรับรู้ความเจ็บปวด ความโกรธเกลียด ความเศร้า ความทุกข์ทรมาน อาฆาตแค้น ฯลฯ วงจรชีวิตของต้นไม้และพืชตอบสนองตามความเป็นไปของการเคลื่อนของดวงอาทิตย์และวัตถุธาตุทั้ง 5 ตามธรรมชาติ อยู่กับการสร้างสมดุลทางธรรมชาติให้ประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งมวล เติบโต ให้ผล เน่าเสียและขยายพันธ์ ฯลฯ ดังนั้น พืชผักธัญญาหารจึงเป็นอาหารที่ปลอดจากกระแสแห่งความเจ็บปวด ความกลัว ความอาฆาตแค้น ใดๆ พืชผัก จึงนับเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทางจิต สิ่งนี้ยืนยันจากความจริงที่ว่า ผู้นำจิตวิญญาณในโลกที่สูงส่ง ทั้งนักปรัชญานักคิดที่มีชื่อเสียง หรือผู้ที่มีความสามารถพิเศษเหนือบุคคลธรรมดาทั่วไป ต่างเป็นผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อาทิเช่น นักบุญในศาสนาคริสต์ ปีเตอร์ จอห์น แมททิว, แดเนียล นักปรัชญากรีกที่โด่งดัง เช่น อริสโตเติล, เพลโต,โซคราติส นักวิทยาศาสตร์ของโลก เช่น เซอร์ไอแซค นิวตัน นักกวีชาวอังกฤษ อย่าง นิวตัน โป๊ป แชลลี่,ไบรอน และ นักเขียนบทละครชื่อดัง เบอร์นาร์ถ ชอร์ ซึ่งปัจจุบัน ผู้คนในสังคมทุกระดับหันมาเลิกกินเนื้อสัตว์กันแล้วมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในโลกตะวันตก ที่ได้รับผลร้ายจากการกินเนื้อสัตว์โดยตรง
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงสอนเราว่า
“ลูกต้องกินอาหารที่บริสุทธิ์ ถ้าลูกกินอาหารไม่บริสุทธิ์หรือตระเตรียมอาหารในขณะที่มีสำนึกไม่บริสุทธิ์ หรือขณะที่กินอาหารและไม่ได้มีการคิดถึงพ่อ ทุกวันที่ผ่านไป ลูกก็สร้างได้เพียงพลังงานธรรมดา มิใช่พลังงานบริสุทธิ์แต่อย่างใด อาหารที่บริสุทธิ์จึงเปรียบเหมือนน้ำมันบริสุทธิ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ลูกมีโยคะและจดจำพ่อผู้บริสุทธิ์ได้”
เมื่อเราทานอาหารที่บริสุทธิ์ ทำให้ร่างกายบริสุทธิ์ได้แล้ว เราสามารถจะนำเอาคลังพลังจากร่างกายที่บริสุทธิ์(พลังของวัตถุธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ภายในร่างกายที่มีความพร้อมสมดุลสูงสุด) มาใช้กับการทำสมาธิในตอนเช้าตรู่ พลังงานที่บริสุทธิ์อันได้จากการกินและถูกย่อยสลายในเวลากลางคืน ก็จะกลายเป็นพลังเพื่อใช้ในการทำสมาธิเพื่อเข้าถึงโลกที่ปราศจากร่าง หรือ โลกวิญญาณ(Incorporeal World or Soul World) ดังที่ พระเจ้าได้สอนไว้เสมอว่า “การที่ลูกจะเก็บน้ำนมราชสีห์(ความรู้อันสูงส่งจากพระเจ้า)เอาไว้ได้ จำเป็นต้องมีภาชนะทองคำ(ร่างกายและจิตที่บริสุทธิ์)ไว้รองรับ”
ความบริสุทธิ์แบบที่สองที่พระเจ้ากล่าวถึง ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกฝนราชโยคะก็คือ ระดับความบริสุทธิ์ในดวงวิญญาณ ถ้าเราทำสมาธิได้จนกระทั่งจิต และสติปัญญาของเราเข้าถึงสภาวะที่ปราศจากร่างและมีสำนึกเป็นดวงวิญญาณ ผลที่ได้รับก็คือ ดวงวิญญาณจะได้รับกระแสความ บริสุทธิ์สูงสุดจากพ่อสูงสุด และเมื่อเราเข้าถึงสภาวะนี้ได้ พลังงานสูงสุดที่ได้รับจากพระเจ้าก็จะเผา สันสการ์ที่ไม่บริสุทธิ์ของเราได้ พระเจ้ากล่าวว่า ถ้าลูกมีประสบการณ์เช่นนี้ได้แม้เพียง 1 นาที ลูกก็สามารถจะเผาสันสการ์ของตนเองได้ถึงหนึ่งช่วงชีวิต และนี่เองที่เรียกว่าไฟของโยคะ หรือการทำทาพาเซีย (Tapasya- ซึ่งคำไทยเรียกทับศัพท์ง่ายๆว่า บำเพ็ญตบะ)
เราจะเผาสันสการ์(นิสัยดั้งเดิมที่ถูกฝังไว้ในดวงวิญญาณ)ของเรา ณ ที่นั้นได้อย่างไร? และเผาด้วยไฟชนิดใด? ดวงวิญญาณมนุษย์แต่ละดวง ต่างบันทึกสันสการ์ในอดีตไว้ ทั้งที่เป็นสันสการ์ของยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดงและยุคเหล็ก ซึ่งสันสการ์เหล่านี้จะคงอยู่ในดวงวิญญาณมนุษย์แต่ละคนแตกต่างกันไปตลอดกาล มันจะคงอยู่และเป็นสันสการ์ที่ผลักดันนอนเนื่องอยู่ภายในจิตใจของแต่ละคน ซึ่งสันสการ์ที่เป็นตัวผลักดันนั้นมี 2 แบบ คือ
- สันสการ์ซึ่งเป็นดวงวิญญาณปีศาจ
- สันสการ์ที่เป็นดวงวิญญาณสูงส่ง
ถ้าเรามีพลังความบริสุทธิ์ทางร่างกายแล้ว คือการรักษาพรหมจรรย์และการกินอาหารที่บริสุทธิ์ แต่เรากลับไม่ได้ใช้มันเพื่อการเพ่งรวมสมาธิ(อย่างกระตือรือร้นมุ่งมั่น) พลังงานเหล่านั้นก็จะกลับมาเป็นแรงกดดันภายในตัวเราเอง และจะย้อนกลับมากระตุ้นกิเลสทั้ง 5 (1. ความโกรธ 2. ความโลภความหลงตัณหาทะยานอยาก 3. ความหยิ่งทะนงหลงตน 4. ความยึดติดผูกพัน 5. ความหลงใหลมัวเมาในกามราคะ) ถึงแม้ว่าปัญญาของเราจะรู้ว่าไม่ควรจะทำสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้ นั่นเพราะ มีแรงผลักดันของสันสการ์เดิมที่ฝังอยู่และมีพลังมาก คอยกระตุ้นประสาทสัมผัสทางร่างให้กระทำตามกิเลสนั้นๆ
แต่ถ้าเราดึงพลังของความบริสุทธิ์ทางร่างกายและใช้เพื่อเพ่งรวมสมาธิแล้ว เราจะได้รับพลังจากพระเจ้าหรือดวงวิญญาณสูงสุด สติปัญญาของเราก็จะกลับมาบริสุทธิ์ สติปัญญาที่บริสุทธิ์สะอาดนี้จะไม่อนุญาตให้สันสการ์ที่ไม่บริสุทธิ์ผุดโผล่ขึ้นมา ถ้าความคิดที่ไม่บริสุทธิ์เข้ามาในจิต สติปัญญาก็จะปฏิเสธมัน เราจะขจัดความคิดที่ไม่บริสุทธิ์ลงได้อย่างง่ายดาย นั้นคือเหตุผลว่าทำไมในสภาวะที่มีสำนึกเป็นดวงวิญญาณ สันสการ์จึงถูกเผา เราจะเผาสันสการ์หรือกรรมเก่าของเราได้ ในสภาวะที่เป็นจุดแห่งแสงที่ไร้ร่างเท่านั้น และเราจะถึงสภาวะนั้นได้ เราจำเป็นต้องมีความบริสุทธิ์ในดวงวิญญาณเสียก่อน ซึ่งความบริสุทธิ์ทางดวงวิญญาณ ก็หมายถึง 2 ประการที่ผู้ฝึกฝนราชโยคะต้องมีคือ มีความบริสุทธิ์ทางร่างกายที่เกิดจากการกินอาหารบริสุทธิ์ และเป็นผู้มีระดับความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณที่สามารถเพ่งรวมโยคะกับพระเจ้าได้ นั่นเอง เมื่อใดที่มีการเพ่งรวมและใช้พลังอย่างเต็มที่ในการมีโยคะกับพระเจ้า ณ โลกวิญญาณในสภาวะไร้ร่างได้ ดวงวิญญาณจะมีพลังมากยิ่งกว่าประสาทสัมผัสทางร่างและสันสการ์ดั้งเดิม หากไม่มีพลังแล้ว สันสการ์ที่ไม่บริสุทธิ์และกรรมเก่าที่เราต่างกระทำถูกบันทึกมาหลายชาติก็จะยังตกค้างอยู่ไม่ถูกเผาไป
อะไรคือระดับความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ? ความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณคืออะไร วัดได้อย่างไร? และดวงวิญญาณจะได้รับความบริสุทธิ์ใดจากพ่อสูงสุด ดวงวิญญาณสูงสุด? ตัวชี้วัดที่จะบอกถึงระดับของความบริสุทธิ์ในดวงวิญญาณ มีอยู่ 3 ระดับด้วยกันคือ
ระดับที่ 1 ดวงวิญญาณกลุ่มกษัตริย์และราชวงศ์
ระดับที่ 2 ดวงวิญญาณกลุ่มประชาราษฎร์
ระดับที่ 3 ดวงวิญญาณกลุ่มผู้ให้บริการช่วยเหลือ
อะไรคือข้อแตกต่างในแต่ละระดับ
กลุ่มระดับที่ 3 ดวงวิญญาณผู้ให้บริการช่วยเหลือ นั้นจะเป็นกลุ่มที่ขาดความบริสุทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง คือขาดเรื่องความบริสุทธิ์ทางร่างกายและความบริสุทธิ์ทางสติปัญญา
กลุ่มระดับที่ 2 ดวงวิญญาณกลุ่มประชาราษฎร์ เป็นกลุ่มที่กินอาหารบริสุทธิ์และถือพรหมจรรย์ คือมีความบริสุทธิ์ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา
กลุ่มระดับที่ 1 ดวงวิญญาณกลุ่มกษัตริย์และราชวงศ์ กลุ่มนี้จะมีความบริสุทธิ์ทั้งทางร่างกายและสติปัญญาที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้งไม่มีความปรารถนา(Desire)ใดๆหลงเหลืออยู่เลย เพราะว่าการมีความปรารถนาต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์สำหรับดวงวิญญาณ
ซึ่งความปรารถนา (Desire) นั้นแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะดังนี้คือ
1. ความปรารถนาในสิ่งของวัตถุทางร่าง
2. ความปรารถนาในความผูกพันยึดติดหรือถูกแรงดึงดูดจากมนุษย์ด้วยกันหรือกับพวกสัตว์
3. ความปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ติดต่อกับผู้คนที่มีสถานภาพทางโลกสูง ที่มีบุคลิกลักษณะ โดดเด่นมีชื่อเสียง ชอบทำตัวสนิทสนมกับคนเหล่านี้เพื่อหวังประโยชน์และชื่อเสียงของตนเองในภายหน้า
4. มีความปรารถนาหรือคาดหวังผลตอบแทนในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป
หากดวงวิญญาณยังมีร่องรอยความปรารถนาทั้ง 4 นี้ ผู้นั้นก็จะไม่มีคุณสมบัติของการได้เป็นดวงวิญญาณกษัตริย์ ทุกๆความคิดและการกระทำของกษัตริย์จะต้องสูงส่ง จะไม่มีความคิดและการกระทำที่ไม่บริสุทธิ์สำหรับดวงวิญญาณที่จะมาเป็นกษัตริย์ ดังนั้นถ้าเราต้องการที่จะเป็นกษัตริย์ ก็ควรตรวจสอบสภาวะจิตของเรา ไม่ควรจะคิดว่า “ทำไมต้องมีข้อกำหนดเหล่านี้ด้วย ฉันต้องการเพียงจะมีสมาธิที่ถูกต้องเท่านั้น คุณสมบัติและพลังเหล่านั้นฉันก็จะได้รับเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว” ไม่ใช่เลย! ถ้าเราต้องการจะเป็นกษัตริย์ เราต้องถามตัวเองว่า เรามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ พระเจ้าบอกทุกวันว่า ลูกต้องตรวจสอบตัวเอง ถ้าลูกต้องการบรรลุถึงสภาวะที่สูงส่ง ลูกต้องตรวจสอบตนเองอยู่เสมอว่า ลูกมีความบริสุทธิ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ พร้อมที่จะได้รับสภาวะที่สูงส่งนี้หรือยัง