ศิลปะของมนุษย์ผู้สูงส่ง (เทพ) ผู้มีคุณธรรม 16 ประการ
(เป็นดั่งสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยทางจิตของโลก คือจุดแห่งแสงที่มีรัศมี 16 องศา)
มีคำกล่าวว่า “เมื่อคนเรามีสำนึกเช่นใด ทัศนคติก็จะเป็นเช่นนั้น การกระทำและวิถีการดำเนินชีวิตของเขาก็จะเป็นไปตามนั้น”
ทุกวันนี้สำนึกทั่วไปของมนุษย์ยึดติดอยู่กับสำนึกของความเป็นร่างกาย(Body Conscious) ติดยึดผูกผันกับร่างกายและความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องและบุคคลอื่นๆ รอบข้าง ยึดติดสิ่งทรัพย์สมบัติภายนอก ยึดติดความสะดวกสบายฟุ่มเฟือย ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของความมืด(ความทุกข์) ซึ่งเกิดจากความไม่รู้ที่มืดบอด ทำให้ทัศนคติคับแคบและเริ่มมีความคิดที่เห็นแก่ตัว ทัศนคติที่คับแคบนี้เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ สายตาที่มองผู้คนจึงเต็มไปด้วยกิเลส การกระทำจึงไม่บริสุทธิ์และก่อให้เกิดอุปสรรค นั่นคือ มีความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เมื่อมนุษย์ทั้งโลกต่างมีทัศนคติแบบเดียวกัน โลกนี้จึงกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและขวากหนามทิ่มแทงกันและกัน มีแต่ความขัดแย้งและสงครามน้อยใหญ่ปะทุขึ้นทั่วทุกแห่ง ไร้ความอ่อนหวานอ่อนโยนอยู่ในความสัมพันธ์ ไร้ความสุขความสงบในชีวิต ต่างเห็นแก่ตัว ขมขื่น หวาดระแวงไม่ไว้วางใจ อิจฉาริษยา โกรธแค้นอาฆาตพยาบาทมุ่งทำลายล้าง เต็มไปด้วยทิฐิหลงตน ฯลฯ สร้างความเจ็บปวดขึ้นในหัวใจของกันและกัน ประเด็นทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากสำนึกที่มืดบอด และนำโลกไปสู่ยุคเหล็กที่ตกต่ำถึงขีดสุด
พระเจ้าชีว่า ผู้เป็นมหาสมุทรแห่งความสงบความรัก ปีติสุข ท่านสอนเราให้เป็นผู้ที่สำรวจภายในตนเองอยู่เสมอ ให้มีความถ่อมตน พอใจในสิ่งที่มี มีความร่าเริงสดใส หนักแน่นรู้รักสันโดษอดทน มีความสงบและความสุขที่แท้จริงในชีวิต ผู้ที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วยจะได้สัมผัสกับความพิเศษนี้ จากความคิด คำพูดและการกระทำที่มาจากความรู้สึกลึกภายในที่คิดจะช่วยเหลือผู้อื่น มีวาจาคำพูดที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก ทำงานช่วยเหลือผู้อื่นๆ โดยการถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้าด้วยความปรารถนาดีปราศจากการคาดหวังใดๆเพื่อตนเอง สิ่งต่างๆที่ท่านสอน ล้วนเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะกลายเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง(เทพ) ในอนาคต
คุณสมบัติของเทพ ผู้มีความสมบูรณ์พร้อม 16 องศา
มหาวิทยาลัยทางจิตของโลก บราห์มา กุมารี มีการสอน 4 วิชาหลักคือ
1. ความรู้ของพระเจ้า (Gyan – ญาณ คือ รับความรู้ที่ถูกต้องของพระเจ้า เรื่องฉันคือดวงวิญญาณ วงจรโลก ตรีมูรติ สามโลก ฯลฯ)
2. การทำสมาธิราชาโยคะ (Yoga – โยคะ คือ การนำความรู้ไปไตร่ตรอง ขัดเกลาและฝึกฝนนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน)
3. การปลูกฝังคุณธรรมที่สูงส่ง (Virtue – คุณธรรม เมื่อนำความรู้ไปใช้ก็จะเกิดประสบการณ์ กลายเป็นผู้มีคุณธรรม)
4. งานรับใช้ทางดวงวิญญาณ (Services – ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยการถ่ายทอดความรู้ของพระเจ้าและเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการมีคุณธรรม)
และภาพลักษณ์ที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับ 4 วิชานี้คือ ประวัติชีวิตของท่านปิตาบราห์มา บาบาผู้ก่อตั้งสถาบันนี้ ดังนั้นถ้าเราดำเนินชีวิตตามแนวทางของบราห์มาบาบา เราก็จะได้รับคุณธรรมและศิลปะแห่งเทพ 16 องศาสมบูรณ์พร้อมได้ในไม่ช้า และศิลปะทั้ง 16 องศานั้นก็คือ
1. ศิลปะแห่งความผ่อนคลาย
การที่เราดำรงชีวิตอยู่และเชื่อศรัทธาว่า ดวงวิญญาณสูงสุดท่านเป็นทั้งผู้กำกับและผู้แสดง เราเป็นเพียงเครื่องมือของท่านเราก็จะอยู่อย่างพอใจและผ่อนคลายแม้แต่ในยามที่เจ็บป่วย ก็ตระหนักรู้ว่านี่คือบัญชีกรรมในอดีตที่ทำให้เราต้องมาชำระสะสาง และทำให้เราสามารถอยู่เหนือสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีความเข้าใจ เป็นผู้เฝ้ามองดูฉากต่างๆที่ถูกกำหนดไว้แล้วในละครโลกอย่างละวาง เป็นเหมือนดั่งภาพของวิษณุที่นอนอย่างสบายบนเตียงที่งูใหญ่ในมหาสมุทรเป็นที่เอนกาย สิ่งนี้คือเครื่องหมายของการเป็นเทพที่ผ่อนคลายด้วยการไตร่ตรองใช้สติปัญญาความรู้ของพระเจ้า จึงทำให้มีความสุขได้ท่ามกลางกิเลสมายารอบกาย
2. ศิลปะแห่งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องเหมาะสม
การปฏิบัติต่อผู้อื่น ควรเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติและปราศจากความเห็นแก่ตัว ต้องให้ความเคารพต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ต่อทั้งผู้ที่อาวุโสและผู้ที่อ่อนเยาว์กว่า ด้วยมีสายตาที่มีสำนึกเป็นดวงวิญญาณ ไม่ติดกับภาพลักษณ์และสถานภาพทางโลก แต่มองเห็นคุณสมบัติและคุณธรรมภายในของผู้นั้น คิดว่าทุกคนต่างเป็นครอบครัวที่สูงส่ง เมื่อมีทัศนคติเช่นนั้น บุคลิกของผู้นั้นก็จะมีความอ่อนโยน สุภาพให้เกียรติ เมตตากรุณา โอบอ้อมอารี เยือกเย็น ฯลฯ บุคคลเช่นนี้ก็สามารถเอาชนะและนั่งอยู่ในหัวใจของผู้คนทั้งหลายอย่างง่ายดาย อีกทั้งมีอำนาจเหนือผู้คนเหล่านั้น ดั่งที่มีคำกล่าวว่า “ผู้ที่สง่างาม คือผู้ซึ่งทำแต่สิ่งที่งามสง่า”
3. ศิลปะแห่งการรักษาสุขภาพให้ดี
ทำทุกสิ่งด้วยสำนึกรู้ว่าตน คือดวงวิญญาณคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี ด้วยการคิดว่าตัวเองเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรปราศจากซึ่งความกังวลใดๆ คงอยู่อย่างมีความปีติสุขเสมอเพราะตระหนักรู้ว่าไม่มีอาหารใดที่เปรียบเทียบได้กับความสุขอีกแล้ว และการได้ดื่มน้ำที่บริสุทธิ์ อาหารที่สดบริสุทธิ์และได้รับอากาศที่สดชื่น มีความสำคัญในการรักษาสุขภาพให้ดี บาบากล่าวว่า จงรักษาสุขภาพให้ดีและมีความสุขเสมอ จงแผ่กระแสความปรารถนาดีให้กับทุกๆ คน ด้วยการทำสมาธิสม่ำเสมอ และไตร่ตรองความรู้ของพระเจ้า เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความลับของละครโลก และคงอยู่อย่างมีความสุขในทุกๆสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิต โดยปราศจากความเครียดแค้นชิงชัง เมื่อความคิดและทัศนคติของเราดี ร่างกายซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนออกมาจากจิตใจก็ย่อมจะดีด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของศิลปะในการรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์
4. ศิลปะแห่งการสอน
ประชาปิตา บราห์มาบาบา เปี่ยมด้วยการกระทำที่อ่อนโยนนุ่มนวล การมองของท่านเป็นสำนึกทางดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความรัก ทัศนคติและการกระทำล้วนให้คุณประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ท่านสอนลูกๆ ถึงบทเรียนของการเป็นพี่น้องกันเป็นครอบครัวที่สูงส่ง ศิลปะการสอนของท่าน จึงเต็มไปด้วยความรัก “นักบุญ Kabir Das เคยเอ่ยถึงประโยคที่เต็มไปด้วยความหมายว่า ไม่ว่าจะศึกษาหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า ทั่วทั้งโลก ก็ไม่มีใครเลยที่จะกลายเป็นผู้หยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง แต่ผู้ที่เขียนตัวอักษรเพียงสี่ตัว คือคำว่า LOVE (ความรัก)ได้ ผู้นั้นกลับกลายเป็นผู้ที่หยั่งรู้อย่างแท้จริงได้” ถึงแม้ว่าความรู้ของพระเจ้าจะมีสี่วิชาหลัก แต่บาบาสอนวิชาเหล่านี้รวมมันเป็นวิชาเดียว และวิธีการสอนของท่านก็สอนเหมือนกับเป็นการเล่าเรื่องราว สอนด้วยความใกล้ชิดระหว่างครูกับนักเรียน ยามใดที่ท่านจะต้องชี้ถึงความอ่อนแอของใครบางคน ท่านก็จะกระทำเป็นการส่วนตัวเฉพาะกับผู้นั้น ไม่ประณามกล่าวว่าต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่ยามใดที่ท่านต้องการจะสรรเสริญผู้ใดท่านกลับทำอย่างเปิดเผยประกาศให้เกียรติต่อหน้าทุกคน ผู้คนที่ถูกสอนก็จะยังคงไว้ซึ่งความเคารพในตัวเองและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดพลาดด้วยตัวของเขาเองและอย่างเต็มใจ ศิลปะแห่งการสอนเปรียบเทียบให้เห็นได้กับภาพของศรีกฤษณะที่สอนต่ออรชุนด้วยความรักขณะที่นั่งอยู่บนรถม้ากันเพียงสองคน แม้จะอยู่ท่ามกลางกองทัพมากมาย นี่เป็นเครื่องแสดงถึงศิลปะแห่งการสอนที่แท้จริงลึกซึ้ง
5. ศิลปะแห่งการเขียนจดหมาย
จดหมายของบาบาเคยได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตของทุกๆคน ถ้าบาบาต้องการจะชี้ให้ใครคนใดคนหนึ่งเห็นถึงความบกพร่องของตัวเขาเอง สิ่งแรกท่านจะกล่าวสรรเสริญผู้นั้นก่อน จากนั้นแล้วจึงจะชี้ให้เห็นความบกพร่องด้วยวิธีการที่สวยงาม วิธีนี้ก็จะทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นด้อยคุณค่า จดหมายของบาบาแต่ละฉบับจะทำให้ผู้ที่อ่านนั้นปรารถนาที่จะอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีก บาบาเคยเอาชนะหัวใจของหลายคนด้วยการใช้จดหมายของท่าน และด้วยการเขียนจดหมายของบาบาได้ทำให้มีหลายดวงวิญญาณเข้ามาอุทิศตนเองต่อบาบา
6. ศิลปะแห่งการหล่อเลี้ยง
ท่านนั้นเหมือนกับแม่ บาบาจะคอยเลี้ยงดูและชี้แนะลูกอย่างเต็มไปด้วยความรัก ท่านอุทิศตนและรับใช้พระเจ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บาบากล่าวว่า อย่าได้พักผ่อนหลังจากที่ลูกได้จัดงานนิทรรศการหรือทำงานรับใช้ใดๆ จงเฝ้าติดตามผลงานเสมอๆ แล้วจะได้รับความผลสำเร็จต่องานที่กระทำลงไป หากว่าผู้ที่มารับความรู้แล้ว ผู้นั้นไม่ได้มาอีก เนื่องจากเหตุผลใดๆ ก็ตาม ลูกจงส่งเมอร์ลีหรือจดหมายไปหาเขาผู้นั้น หรือไม่ก็ส่ง “ปราสาด” (Prasad) หรือ (โทรี – ขนมหวาน) ไปให้ หรือไม่ก็พยายามติดตามให้การช่วยเหลือบางอย่างกับเขาด้วยความปรารถนาดี แล้วเขาก็จะกลับมาหาเรา
7. ศิลปะแห่งการมุ่งไปข้างหน้า
ควรเป็นผู้ที่มีเป้าหมายในชีวิตที่สูงส่งสม่ำเสมอ และเราควรทำความเพียรพยายามที่จะบรรลุให้ถึงเป้าหมายนั้นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรก็ตาม(กระดาษสอบ) ที่เข้ามาท้าทาย ในขณะที่เดินอยู่บนเส้นทางชีวิต บราห์มิน ลูกจงก้าวไปข้างหน้า ความก้าวหน้าของลูกจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นด้วยเช่นกัน
8. ศิลปะแห่งการให้ความบันเทิง
บาบาเคยให้ความสนุกทำให้ลูกๆหัวเราะขณะที่ถ่ายทอดความรู้ ท่านทำให้ความรู้ของพระเจ้าที่ล้ำลึกมากมาย สามารถกระจ่างชัดในวิธีการที่ง่ายๆและสนุกสนาน ท่านข้ามพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายต่างๆได้อย่างมีความสุข ท่านทำให้ลูกๆสนุกและทำให้เด็กๆหัวเราะได้ตามโอกาส ท่านกล่าวว่า “จงส่งรอยยิ้มเช่นดอกไม้บานให้กันและกัน”
9. ศิลปะแห่งการพูด
มีคำกล่าวว่า “ลิ้นของมนุษย์เรานั้น สามารถทำให้ผู้ใดได้รับซึ่งบัลลังก์ หรืออาจทำให้ผู้ใดถูกแขวนคอ” ด้วยพลังของคำพูดที่นุ่มนวลอ่อนโยน สามารถจะฉุดให้ผู้คนก้าวข้ามพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้ เหมือนน้ำเย็นที่ปลอบประโลมใจให้ชุ่มชื่นมีพลังที่จะเผชิญกับอุปสรรคต่างนานา ด้วยการมีสำนึกเป็นดวงวิญญาณจะทำให้ผู้ที่พูดนั้นมีคำพูดที่นุ่มนวล อ่อนโยนอย่างอัตโนมัติ เพราะด้วยทัศนคติและสายตาที่มองผู้อื่นเป็นดวงวิญญาณเช่นเดียวกับเรา เป็นพี่เป็นน้องที่มีแต่ความปรารถนาดีมีเมตตากรุณาที่อยากจะมอบให้อยู่เสมอ ดั่งคำของกวีที่ได้เอ่ยประโยคที่เป็นความจริงว่า
คำพูดที่อ่อนหวาน คือ ยารักษา คำหยาบคาย คือ ลูกธนู
ทั้งสองมีผลกับทั้งสรรพางกาย แม้ว่าหนทางแห่งการฟังจะคับแคบ
10. ศิลปะแห่งการทำให้ผู้อื่นเป็นของตน
บาบาให้ความเชื่อและศรัทธาต่อลูกๆเป็นอย่างมาก ด้วยการให้ความรักคำสรรเสริญเสมอๆ ท่านมักจะชมเชยว่าลูกๆมีคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หรือชมเชยลูกๆทั้งหลายว่า ทำงานบริการรับใช้เพื่อมวลมนุษยชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บาบาจะเป็นผู้ที่คอยเติมความหวังให้กับดวงวิญญาณที่สิ้นหวังให้กลายมาเป็นผู้ที่มีพลัง ท่านจะไม่ทำร้ายหัวใจผู้ใดให้เจ็บปวดหมดกำลังใจ ท่านเอาชนะหัวใจผู้คนทั้งหลายด้วยวิธีนี้ จึงทำให้ผู้คนไม่อยากที่จะอยู่ห่างไกลจากบาบา เพราะการได้พบกับบาบาเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเบาสบายและมีความสุขเป็นอย่างมาก
11. ศิลปะแห่งการเป็นผู้นำ
งานของผู้นำคือการปลุกให้ผู้คนมีความกล้าหาญที่จะก้าวไปข้างหน้า บาบาพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยที่จะเปลี่ยนผู้เพียรพยายามทุกคนให้เป็นผู้นำหรือเป็นครู ท่านได้มอบหมายให้ทุกคนทำงานรับใช้อย่างตั้งใจตามคุณสมบัติของเขาเหล่านั้น เพื่อจะได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง เมื่อสติปัญญามุ่งอยู่กับงานสร้างสรรค์ ความคิดที่จะทำลายก็จบสิ้นลงโดยอัตโนมัติ เหมือนกับหินได้กลายเป็นสิ่งมีค่า เมื่อมันไหลกลิ้งอยู่กับกระแสน้ำ เช่นเดียวกัน ด้วยการรับใช้ผู้อื่นเสมอๆ ผู้นั้นก็จะค่อยๆกลายเป็นอัญมณีที่มีค่า ด้วยเหตุนี้บาบาจึงสนับสนุนให้ทุกคนก้าวหน้าด้วยการมอบหมายงานให้ตามความสามารถ หรือตามความสนใจ
12. ศิลปะแห่งการเรียนรู้
การเรียนรู้ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนคนหนึ่ง แม้แต่บราห์มาบาบาหลังจากเข้าสู่วัยชรา ท่านก็ยังคิดว่าตัวท่านเองคือนักเรียน ทัศนคติเช่นนี้จึงนำท่านไปสู่จุดสุดยอด การเรียนรู้นั้นจำเป็นจะต้องมีความใฝ่รู้อยู่เสมอไม่ได้ขาด แม้แต่ในขณะที่ท่านกำลังอธิบายความสำคัญในบทเรียนทางดวงวิญญาณ ท่านก็กำลังเรียนความรู้จากพระเจ้าไปด้วย บาบาเคยกล่าวว่า “ลูกๆผู้ซึ่งรักเมอร์ลี ก็จะรักผู้ซึ่งถ่ายทอดเมอร์ลีด้วย ดังนั้นอย่าได้ขาดเรียนเมอร์ลีในตอนเช้า (การอธิบายความรู้ทางดวงวิญญาณ)” ทัศนคติที่ว่า ไม่มีใครที่จะแก่เกินเรียน บาบาจะเรียกแม้แต่ผู้ที่มาเรียนที่มีอายุมากกว่าว่าเป็นลูกด้วยความรัก เมื่อผู้นั้นถูกเรียกเช่นนั้นก็จะถูกกระตุ้นและรู้สึกว่าตนเองยังเป็นเด็กที่ต้องเรียนรู้และศึกษาความรู้ของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน
13. ศิลปะแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือการสร้างรูปขึ้นมาใหม่
บาบากล่าวว่า หลังจากที่เข้าใจเป้าหมาย จุดประสงค์และหน้าที่ของชีวิต มันก็ไม่เป็นการยากที่เราจะสร้างรูปของตนเองขึ้นมาใหม่ ด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของชีวิตและสันสการ์เก่า บราห์มา บาบา ท่านได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านอย่างเด่นชัด วันที่ท่านได้รับนิมิตเห็นว่า “ท่านคือวิษณุ” ท่านก็เป็นเช่นนั้น และจากวันนั้นท่านก็เริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง การทำความเพียรพยายามอย่างรวดเร็ว หมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และนั่นก็เกิดผลของการทำบุญอย่างทันทีทันใดเช่นกัน ท่านได้เทคนิคนี้มาใช้กับชีวิตของท่าน และสามารถบรรลุถึงความยิ่งใหญ่ได้
14. ศิลปะแห่งการเปลี่ยนสิ่งไร้ค่าให้เป็นสิ่งทรงคุณค่า
ผู้คนเปลี่ยนสภาพของเหล็กซึ่งไม่มีค่า หรือเปลี่ยนสภาพของทองคำไปเป็นรูปทรงหรือสิ่งต่างๆ ด้วยการหลอมละลาย เช่นกัน หลังจากที่กระตุ้นให้ผู้คนได้ทิ้งสันสการ์หรือทิ้งนิสัยเก่าๆเสีย บาบาก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีให้กลายเป็นนิสัยที่ดี ท่านกระตุ้นให้ผู้คนมีความคิดที่จะเปลี่ยนโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสให้กลายเป็นโลกที่ปราศจากกิเลส ดั่งเช่นที่ ท่านเปลี่ยนของเก่าบางอย่างในสถาบันให้ไปเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้
15. ศิลปะแห่งการบริหาร
เพื่อการก่อตั้งโลกใหม่ การเปลี่ยนแปลงสันสการ์ของแต่ละคนและทุกๆคนเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นงานที่ยากมาก ศิลปินที่ยิ่งใหญ่หรือผู้บริหารที่ดี คือผู้ที่ทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยการใช้วิธีการที่น้อยมาก บาบามีคำขวัญว่า “เมื่อเริ่มต้นทำงาน วิธีการก็จะเข้ามาด้วยตัวของมันเองอย่างอัตโนมัติ” บาบาเคยให้โอกาสกับทุกๆ คนเสมอที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด การบริหารของบาบานั้นยอดเยี่ยมที่สุด ทุกๆ คนต้องทำงานเพราะว่าทุกๆคนเข้าใจได้ว่าการทำงานนั้นเป็นงานรับใช้ และงานรับใช้เป็นพื้นฐานของการที่จะได้รับโชค ณ ที่นี่จึงไม่มีทั้งผู้ควบคุม ไม่มีผู้จัดการ และไม่มีใครที่จะแสดงความหยิ่งทะนงหรือวางอำนาจ และด้วยเหตุนี้ในงานบริหารเพื่องานรับใช้ของพระเจ้าจึงไม่มีการประท้วงเรื่องงาน หรือถามหาเวลาพักผ่อน ทุกวันนี้จะเห็นว่าชั้นเรียนเมอร์ลีต่างๆ ทั่วทั้งโลกก็มีขึ้นได้ในเวลาที่แน่นอนแต่ละศูนย์
16. ศิลปะแห่งการซึมซับ
ในการสังเกตชีวิตบาบาจะเห็นว่า ลูกๆ ต่างเชื่อฟังและศรัทธาในบาบา นั่นเพราะบาบาจะซึมซับและยอมรับความอ่อนแอของลูกๆที่มีอยู่หลากหลายไว้ภายใน ด้วยหัวใจที่กว้างใหญ่เหมือนดังมหาสมุทร ท่านไม่เคยแสดงความไม่พอใจต่อผู้ใด หรือแม้แต่ยามที่ลูกๆ ทุกคนมาปรึกษาหรือระบายถึงเรื่องราวต่างๆ หรือเรื่องราวความเจ็บปวดให้บาบาฟังด้วยจิตใจที่เปิดเผย ท่านก็ซึมซับไว้อย่างเบาสบายและเก็บมันไว้ภายในแต่เพียงท่านเท่านั้น เหมือนดั่งพระคเณศที่มีพุงอันใหญ่โต ซึ่งเป็นนัยยะที่แสดงถึงความสามารถในการซึมซับเรื่องราวต่างๆไว้ภายในได้มากมาย
การสร้างพลังอำนาจให้กับดวงวิญญาณ ในวันนี้. .เพื่อวันพรุ่งนี้
ถ้าเราฝึกฝนพลังอำนาจของดวงวิญญาณของเราวันนี้ ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน (ช่วงเวลาในขณะนี้ที่กำลังอยู่ระหว่างตอนจบของยุคเหล็ก และเชื่อมต่อตอนเริ่มต้นของยุคทอง) จะทำให้ดวงวิญญาณของเราเต็มไปด้วยพลังอำนาจ และวันพรุ่งนี้ในยุคทอง (สรวงสวรรค์) ก็จะกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุขสำหรับเรา ภาพตอนจบของยุคเหล็กในขณะนี้นั้น เราจะเห็นว่ามีศาสนา ภาษาและวรรณะนับไม่ถ้วนในโลก มีอาณาจักรเขตแดนที่แบ่งแยกออกมามากมายหลายร้อยประเทศ ทั้งมีความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่าง ซึ่งเป็นผลให้เห็นเกิดความแตกแยก ขัดแย้ง ปรากฏให้เห็นกันอยู่อย่างมากมาย ต่างศาสนา ต่างภาษา ต่างวรรณะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทางตรงและทางอ้อมของความขัดแย้ง การเกิดสงคราม ตามมาด้วยความทุกข์ระทมทรมานที่ไม่อาจหาสาเหตุที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับยุคทอง ที่นั่นจะมีกษัตริย์ผู้สูงส่งเปี่ยมด้วยคุณธรรมปกครองอาณาจักรแต่เพียงผู้เดียว มีศาสนาเดียว ภาษาเดียวและความเชื่อเดียว มีแต่ความสงบ มั่งคั่งร่ำรวยและความสุขนั้นกระจายอยู่ทั่วโลก
ในยุคแห่งการบรรจบพบกันนี้ดวงวิญญาณสูงสุด พ่อ พระเจ้า ได้ลงมาก่อตั้งโลกยุคทองโดยผ่านความรู้ของพระเจ้า การทำสมาธิราชาโยคะที่ง่ายดาย ในโลกทุกวันนี้ถึงแม้ศาสนาทั้งหลาย ไม่ว่า ศาสนาฮินดู มุสลิม ซิกส์ คริสเตียน พุทธ เจน ต่างก็ได้สอนบทเรียนของความรักให้เกิดในใจของผู้ที่นับถือ แต่นั่นก็ไม่เป็นผล โลกนี้กลับเต็มไปด้วยความแตกแยก ชิงชัง ที่เพิ่มพูนมากขึ้น มีเพียงพระเจ้าพ่อสูงสุดผู้เดียวเท่านั้นที่จะปลูกฝังความรักที่บริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นได้จริงในทางปฏิบัติให้กับมนุษย์โลกได้ หัวใจนั้นเป็นเครื่องหมายของความรักและอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความรัก และด้วยเหตุนี้ในรูปสัญลักษณ์ของศาสนาหลักนั้นถูกแสดงไว้ด้วยรูปหัวใจ ณ ที่นี่ยุคแห่งการบรรจบพบกันการเปลี่ยนสภาวะของเราให้กลายเป็นตัวของความรัก จึงเป็นสาระสำคัญของศาสนาทั้งหลาย ซึ่งความจริงได้ดัดแปลงมาจากศาสนาเทพโบราณ (Adi Sanatan Devi Devta Dharm) ในยุคทอง ภาพของดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และมนุษย์ทั้งหมดนั้นบริสุทธิ์ในยุคทอง ความบริสุทธิ์เป็นแม่ของคุณธรรมที่สูงส่งทั้งหมด ดังนั้นในยุคทองมนุษย์เต็มไปด้วยคุณธรรมสมบูรณ์จะสื่อสารผ่านการส่งกระแสความคิด แต่ละคนก็สามารถจะเข้าใจความคิดกันได้ ในโลกยุคเหล็กนี้เมื่อเราพูดกับใคร เราจะรู้จักผ่านชื่อ ผ่านภาพลักษณ์ของร่างกาย ผ่านคุณสมบัติ บุคลิกภาพ อาชีพ สายสัมพันธ์ ฯลฯ แต่ด้วยพลังอำนาจแห่งดวงวิญญาณ เราจะเรียนรู้ภาษาของดวงวิญญาณ โดยผ่านสำนึกรู้ของการเป็นดวงวิญญาณ มองเห็นผู้อื่นเป็นดวงวิญญาณพี่น้องเพศชาย และปฏิบัติต่อกันบนพื้นฐานของสำนึกแห่งการเป็นดวงวิญญาณไม่ใช่ร่างกายหยาบ ติดต่อกันโดยภาษาของดวงวิญญาณในยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นภาษาของการติดต่อระหว่างบุคคลในยุคทอง ปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันด้วยการกระทำที่สูงส่ง ปราศจากการแบ่งแยก เป็นครอบครัวที่สูงส่งของพระเจ้าครอบครัวเดียว ในร่างกายจะมีดวงวิญญาณที่เป็นกษัตริย์ปกครองตนเองและมีอวัยวะสัมผัส ตา หู จมูก ปาก มือ ฯลฯ เป็นประชาชน เช่นกัน ในยุคบรรจบพบกันนี้ ผู้ที่ฝึกฝนมีสำนึกเป็นดวงวิญญาณ และสามารถจะปกครองอวัยวะสัมผัสทางร่างกายของเขาในยุคนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากเท่าใด ผู้นั้นก็จะได้รับความสำเร็จและมีสถานะภาพในการปกครองโลกยุคทอง ที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความรักได้สูงมากเท่านั้นด้วย
ดังนั้นในเวลาของปัจจุบันนี้(ยุคแห่งการบรรจบพบกัน) การฝึกฝนที่จะมีพลังอำนาจแห่งดวงวิญญาณจึงเป็นพื้นฐานสำคัญยิ่ง คุณธรรมและศิลปะทั้ง 16 องศาแห่งการเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง หรือ การเป็นเทพนั้น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสถานะภาพของทุกคนที่จะไปบริหารอาณาจักรอันสูงส่งในยุคทองที่กำลังจะมาถึง!