นอกเหนือจากวงจรของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติดังที่กล่าวมาแล้ว วงจรชีวิตของมนุษย์เราทุกคนก็เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักวงจรชีวิตของมนุษย์นั้นมีสองส่วนที่สำคัญคือร่างกายของมนุษย์(Body)ที่เปลี่ยนแปลงเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา กับดวงวิญญาณ(Soul)ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอมตะ ดวงวิญญาณเข้ามาใช้ร่างมนุษย์เพื่อเกิดมาเล่นบทบาทของตนเองตั้งแต่เป็นทารก เด็ก วัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่แก่ชราและก็ตายจากร่างไปแล้วดวงวิญญาณก็ต้องกลับเข้าไปใช้ร่างใหม่อีกเป็นวัฏจักร
วงจรของเวลาบนโลก(Time Cycle)ที่ดำเนินอยู่อย่างแน่นอนก็มีอยู่ 4 ยุคเช่นกัน โดยจะหมุนวนซ้ำๆ อยู่ทุกๆ 5000 ปี ซึ่งวงจรนี้ถูกเปิดเผยโดยดวงวิญญาณสูงสุด วงจรเวลาทั้ง 4 ยุคนี้คือ ยุคทอง(Golden Ages) ยุคเงิน(Silver Ages) ยุคทองแดง(Copper Ages) และ ยุคเหล็ก(Iron Ages) เวลาในโลกขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่นี้กำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของยุคเหล็ก ซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของความโศกเศร้าทุกข์ทรมานเนื่องจากมนุษย์ยึดติดอยู่กับสำนึกของความเป็นร่างกาย และไม่นานยุคทองก็จะถูกก่อตั้งขึ้นมาอีกครั้งบนโลกโดยดวงวิญญาณสูงสุดหรือพระเจ้า ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคแห่งความสงบสันติ ความมั่งคั่งและความสุข ด้วยการเข้ามาสู่ความมีสำนึกที่เป็นดวงวิญญาณโดยผ่านสมาธิของราชโยคะ(Raja Yoga)
ระยะเวลาโลกที่มนุษย์สมัยใหม่ยุควิทยาการทางวิทยาศาสตร์รุ่งเรืองมาเพียง 100 กว่าปีได้สร้างกฎเกณฑ์ความรู้ขึ้นมาเองว่า เวลาของโลกยาวนานเป็นล้านๆปีและเดินทางเป็นเส้นตรง แต่ความเป็นจริงนั้นมนุษย์ผู้ใดจะรู้ได้ ทฤษฎีทั้งหมดล้วนตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้คนเดินตาม มีแต่ผู้สร้างเท่านั้นที่รู้ หาใช่มนุษย์ผู้ถูกสร้างจะรู้ถึงสิ่งนี้ได้อย่างแท้จริงไม่! ในความเป็นจริง โลกนี้เป็นนิรันดรและคงอยู่เสมอมาและจะคงอยู่ตลอดไป โลกจะไม่มีวันถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น เวลานี้พระเจ้าได้อวตารลงมาบนโลกและท่านได้มาเปิดเผยความจริงสูงสุดให้พวกเราได้รับรู้ว่า วงจรของเวลาโลกได้หมุนวนมาตั้งแต่อนันตกาลและไม่ได้เดินผ่านเวลาเป็นเส้นตรงอย่างที่มนุษย์คาดเดาเอาเอง พระเจ้าเปิดเผยว่าวงจรของโลกนั้นหมุนวนในทุกๆ 5,000 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยยุคทั้งสี่ ยุคเริ่มต้นนั้นคือ ยุคทอง (สวรรค์) ยุคเงิน ยุคทองแดง และยุคเหล็ก (กลียุคสุดท้าย) ซึ่งในแต่ละยุคมีระยะเวลาแบ่งออกเป็น 1,250 ปี เท่าๆกัน
โดยพิจารณาดูที่สัญลักษณ์ของสวัสดิกะ วงจรโลกจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน โดยระยะเวลาของแต่ละยุคนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือองศาของความบริสุทธิ์และคุณธรรมของดวงวิญญาณมนุษย์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป พลังความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณที่ลดลงไปตามเวลาที่ผ่านไป ส่งผลถึงช่วงชีวิตที่ดวงวิญญาณจะอาศัยอยู่ในร่างกายหยาบก็จะลดน้อยตามไปด้วย กล่าวได้ว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่จะอยู่ในยุคทองนั้นจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่อยู่ในยุคเหล็กถึงสี่เท่า ขณะที่ผู้ที่อยู่ในยุคเงินจะมีอายุเป็นสามเท่าของยุคเหล็ก และผู้ที่อยู่ในยุคทองแดงจะมีอายุยืนยาวกว่ายุคเหล็กเป็น 2 เท่า พระเจ้าชีว่าได้เปิดเผยด้วยตัวท่านเองว่า วงจรโลกที่ครบสมบูรณ์ต้องใช้เวลา 5,000 ปี และหลังจากนั้นมันก็จะกลับมาหมุนซ้ำอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ และอีกทั้งยังมีศาสนาหลักที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกศาสนาบนโลกนี้ที่เกิดในยุคทองและต่อเนื่องยุคเงินนั้น นั่นก็คือ ศาสนา อดิ สานาดาน เทวีเทวา ธรรมา (Adi Sanatan Devi Devta Dharma) ส่วนศาสนา อิสลาม พุทธและคริสเตียน ทั้งสามศาสนามาเริ่มก่อตั้งขึ้นในยุคทองแดง ภายหลังจากจบสิ้นยุคทองและยุคเงิน(สวรรค์)ที่ผ่านช่วงเวลาโลกมาแล้วกว่า 2,500 ปี ก่อนหน้ายุคทองแดง
(ภาพประกอบ) ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์โลกมีลักษณะเป็นละครที่ซ้ำรอยเดิมทุกกัลป(5,000ปี) โลกแห่งความมีตัวตนของมนุษย์กับละครโลกอันเป็นอมตะ ผู้กำกับและผู้สร้างของละครนี้คือ พระเจ้าชีว่า-ดวงวิญญาณสูงสุด หนึ่งวงจรโลกที่ครบสมบูรณ์นั้นเรียกว่าหนึ่งกัลป มีระยะเวลา 5,000 ปี แบ่งกัลปออกเป็นสี่ช่วงๆละ 1,250 ปีเท่าๆกัน สี่ช่วงนี้แทนสี่ยุคหรือสี่สมัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน คือ ยุคทอง ยุคเงิน ยุคทองแดง และยุคเหล็ก ช่วงสุดท้ายของยุคเหล็ก (กลียุค) เมื่อจบสิ้นและถูกทำลายล้างแล้วก็กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของยุคทอง (สัตยุค) จะมียุครอยต่อระหว่างสองยุค ระหว่างยุคเหล็กและยุคทอง ซึ่งมีระยะเวลาสั้นๆเพียง100 ปี เรียกว่า “ยุคแห่งการบรรจบพบกัน” (Sangam Yuga) สังกัมยุค เป็นยุคที่พระเจ้าจะได้อวตารลงมากระทำการที่สูงส่งในการก่อตั้งโลกใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและก็ทำลายล้างโลกเก่าให้จบสิ้นด้วย
ดังนั้น ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่แท้จริง นั่นคือ ศาสนาเทพ (ปัจจุบันได้ตกต่ำผ่านกาลเวลาจนกลายมาเป็นศาสนาฮินดูที่ไม่ได้มีความสูงส่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว) ที่เริ่มต้นเกิดขึ้นมาก่อนจะมาถึงยุคทองแดงอีก 2,500 ปี ต่อมา และประชากรในยุคทอง ยุคแห่งการเริ่มต้นที่เป็นศาสนาแรกนั้น จะมีจำนวนประชากรน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในปัจจุบัน
ยุคทอง (สัตยุค)
เป็นยุคที่โลกอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อม โลกใหม่ที่ถูกสร้างโดยพระเจ้าชีว่าผ่านประชาบิตาบราห์มา โลกที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส
อย่างสมบูรณ์ ธาตุทางธรรมชาติอยู่ในระเบียบที่ดีเลิศปราศจากความปั่นป่วนไม่มีหายนะใดๆไม่มีน้ำท่วม พายุทอร์นาโด เฮอริเคน ฯลฯ ไม่มี
อุบัติเหตุและความอดอยากยากแคลน ไม่มีความปรารถนาใดๆ เพราะเพรียบพร้อมทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ ปราสาทราชวังสร้างจากทองคำ
ประดับประดาด้วยอัญมณีที่มีค่าอนันต์ โลหะและเพชรพลอยที่มีค่าหาได้ยากในปัจจุบันต่างมีไว้ให้ทุกคนอย่างเหลือเฟือ ในสัตยุคทุกสิ่งที่มี
ค่าเป็นสิ่งธรรมดา ณ ที่นั่น อาหารก็เป็นอาหารที่มีคุณภาพสูงสุดแร่ธาตุต่างๆ บริสุทธิ์เป็นอย่างมากทั้งสีสันและรสชาติ ภาพและเสียงของ
ยุคนี้สวยงามวิจิตรจนไม่สามารถที่จะเลียนแบบให้เหมือนได้ ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมและวัฒนธรรมอยู่ที่จุดสูงสุดไม่มีสงคราม
มีผู้ปกครองคู่แรกคือ ศรีลักษมีและศรีนารายัญ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์ที่เรียกขานว่า สุริยราชวงศ์ ราชวงศ์ดำเนินไปตลอดทั้งยุคทอง คุณธรรมและสภาวะความสมบูรณ์พร้อมของพวกเขาอยู่ในระดับสูงสุดและแทนด้วย16 องศาของคุณภาพที่สูงสุด ศิลปะ 16 อย่างที่สูงสุดนั้น เปรียบได้กับพระจันทร์เต็มดวง (คืนที่พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์ถูกเรียกว่าสมบูรณ์พร้อม 16 องศา ในคืนที่ตามมาองศาก็ลดลงอย่างสม่ำเสมอ การอุปมาอุปมัยนี้ใช้อธิบายกับเทพ ในยุคที่ตามมาองศาของคุณธรรมและความสมบูรณ์พร้อมของพวกเขาก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง) ประชากรของยุคทองนั้นน้อยมาก กษัตริย์และราชินีมีคุณธรรมที่สูงส่งเช่นไร ประชาราษฎร์ก็มีคุณธรรมที่สูงส่งเช่นกัน และรู้กันว่าพวกเขาคือ เทพ โลกนั้นปราศจากกิเลส ดังนั้น เด็กที่เกิดจึงบริสุทธิ์ การเกิดและการตายปราศจากความเจ็บปวดและจะได้รับนิมิตปรากฏขึ้นก่อนเหตุการณ์ที่จะมาถึง ไม่มีการตายก่อนเวลา การตายแต่วัยเด็กไม่มี ณ ที่นั้น ไม่มีการไว้ทุกข์เวลามีคนตายเพราะเป็นการเข้าใจกันทุกคนว่าดวงวิญญาณเปลี่ยนร่าง การเป็นอยู่ของพวกเขานั้นสงบและปีติสุขอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่า ชีวัน มุกตี (Jeewan Mukti)
ยุคเงิน (Treta Yuga)
เป็นยุคที่มีความเป็นอยู่เหมือนกับยุคทอง แต่องศาของคุณธรรมและความสมบูรณ์พร้อมลดลงจาก 16 องศา เหลือ 14 องศา มีประชากรเพิ่มขึ้น ผู้ปกครองเปลี่ยนเป็น ศรีราม และ ศรีสีดา แห่งจันทราราชวงศ์ ยุคนี้ปราศจากกิเลส มีกฎหมายที่สมบูรณ์และเป็นระเบียบอุดมสมบูรณ์และมีความสอดคล้องกลมกลืนในความเป็นอยู่ ความแตกต่างระหว่างสองยุคนี้คือ ยุคเงินนั้นมีความปีติสุขน้อยกว่ายุคทองเล็กน้อย สองยุคนี้รวมกันเป็นระยะเวลาซึ่งโลกเป็นสวรรค์ เป็นระยะเวลา 2,500 ปี ช่วงเวลานี้ เรารู้จักกันในฐานะเป็นกลางวันของ บราห์มา
ยุคนี้นรกได้เริ่มขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เทพเริ่มหลงลืมตนเอง พวกเขาเริ่มมีสำนึกแห่งความเป็นร่าง ผู้ซึ่งเคยเป็นเทพก้าวเข้าสู่หนทางของกิเลสและความไม่ชอบธรรม เทพเริ่มสูญเสียคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา ขณะที่พวกเขากลายมาเป็นผู้ที่มีกิเลส ความหายนะและปัญหาที่เกิดจากสำนึกแห่งความเป็นร่างก็เริ่มต้นขึ้น สภาวะของความปิติสุขค่อยๆเปลี่ยนตัวเองไปสู่สภาวะของความตึงเครียดและไม่มีความสุข ธาตุธรรมชาติก็หยุดที่จะให้ความสะดวกสบาย ความสมดุลย์ที่เคยมีมาก่อนระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมก็ถูกรบกวน ความหายนะทางธรรมชาติก็เริ่มต้นขึ้น องศาของความสมบูรณ์ก็ลดลงไปถึง 8 นี่เป็นเวลาที่ความศรัทธาของการบูชากราบไหว้เริ่มต้นขึ้น (Bhakti) เริ่มแรกเป็นการบูชากราบไหว้พระเจ้าพ่อชีว่าผู้ปราศจากร่างก่อนแล้วการบูชาบวงสรวงเทพ เช่น ศรีลักษมีและศรีนารายัญก็เริ่มตามมา ในยุคทองแดงศาสนาอื่น เริ่มต้นขึ้น 2,500 ปีก่อนวันนี้ ตั้งแต่อับบราฮัม ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้นมา พระพุทธเจ้าผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ จีซัสไครสท์ ก่อตั้งศาสนาคริสต์ และโมฮัมเหม็ด ผู้เริ่มต้นศาสนามุสลิม แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือศาสนาเหล่านี้เริ่มต้นภายหลังจากคุณธรรมสูงส่งได้หายไปจากโลกนี้ เทพซึ่งครั้งหนึ่งเคยน่าเคารพยำเกรง บัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้ภาพและรูปปั้นของตัวเอง ได้กลายเป็นคนธรรมดาและเป็นผู้บูชากราบไหว้เสียแล้ว ในยุคนี้ประชากรได้เพิ่มมากขึ้น อายุที่เคยยืนยาวก็เริ่มลดลง ชีวิตไม่ได้บริสุทธิ์อีกต่อไปแต่ถูกชี้นำโดยกิเลสต่างๆ ความโศกเศร้าได้เริ่มต้นขึ้น ความเป็นหนึ่งเดียวของสวรรค์ได้หายไปทำให้เกิดรูปแบบของศาสนาที่ผสมผสานกันหลากหลาย รวมทั้งอาณาจักรและภาษาซึ่งก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้ง เนื่องจากคุณธรรมที่สูงส่งได้หมดไป เทพก็ไม่ได้มีชื่อเรียกว่าเทพอีกต่อไป และศาสนาเทพดั้งเดิมก็เปลี่ยนไปเป็น ศาสนาฮินดู เป็นศาสนาที่แปลกกว่าศาสนาอื่นๆเพราะว่าไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา จริงๆ แล้วคำว่าฮินดู มาจากคำว่า อินทุส (Indus) ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำอยู่ในอินเดียสมัยที่ยังไม่ได้แบ่งแยกไปเป็นปากีสถาน เดิมประเทศอินเดียก็ถูกขนานนามว่า ฮินดูสถาน ซึ่งหมายถึง ดินแดนของแม่น้ำอินทุส และชื่อฮินดูนี้เองก็ถูกนำมาเรียกใช้กับศาสนา แท้จริงแล้ว ศาสนาฮินดูนี้ก็คือศาสนาเทพดั้งเดิมของอินเดียที่กลับมาตกต่ำ ที่มีชื่อเดิมว่า อดิสานาธาน เดวี เดวะตา ธรรมะ (Adi Sanatan Devi DevtaDharma)
ยุคเหล็ก (กลียุค)
มนุษย์ได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วมากในยุคเหล็ก(กลียุค) พิธีกรรมของการบูชากราบไหว้ได้มีอำนาจต่อสังคมอย่างรุนแรง สภาวะได้มาถึงจุดที่ผู้บูชากราบไหว้ถึงกับเริ่มบูชากราบไหว้แม้แต่ ธาตุ ภูเขา แม่น้ำลำธาร บ่อน้ำ สถานที่ดังกล่าวได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแสวงบุญ ศีลธรรมตกต่ำ กิเลสต่างๆเพิ่มขึ้น ความรู้ได้ใช้ไปในทางที่ผิด จิตใจและสติปัญญาของมนุษย์เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งชั่วร้าย ความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันนั้นเกิดขึ้นรุนแรงสาหัส ประชากรเพิ่มขึ้นไปสู่อัตราที่ไม่สามารถจัดการได้ ชีวิตที่เคยยืนยาวบัดนี้ได้ถึงจุดที่สั้นที่สุด ความตายก่อนเวลาอันควรเป็นเรื่องธรรมดาของทุกวันนี้ ความโศกเศร้าและไม่มีความสุขอยู่ที่จุดสูงสุด ศีลธรรมตกต่ำ ยุคทองแดง และ กลียุค เมื่อรวมกันเข้าก็ทำให้โลกกลายเป็นนรก และถูกเรียกว่า กลางคืนของบราห์มา มีระยะเวลา 2,500 ปี
ยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga)
พระเจ้าพ่อชีว่าพูดว่า ท่านเองมาจากพารามธรรมเมื่อความไม่ชอบธรรมบนโลกมากถึงจุดสูงสุด เพื่อทำลายความไม่ชอบธรรมที่ปรากฏอยู่ทั่วไป และมาก่อตั้งศาสนาเทพดั้งเดิมอีกครั้งหนึ่ง ชีพบาบาลงมาเพียงในตอนปลายของกลียุคที่มนุษย์เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า (ยุคเหล็ก) มันเป็นช่วงเวลานี้นั่นเองที่มนุษย์ร้องเรียกหาท่าน และทำทุกวิถีทางที่จะอ้อนวอนและร้องเรียกให้ท่านมาและช่วยพวกเขาให้พ้นภัย ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาน มาให้ความช่วยเหลือและชำระล้างบาปให้พวกเขา ชีพบาบาอวตารลงมา (ลงมาบนโลก)ในช่วงบรรจบพบกันของตอนจบของกลียุค และตอนเริ่มต้นของสัตยุค ณ เวลาที่ท่านอวตารลงมาในร่างของบราห์มา ยุคแห่งการบรรจบพบกันก็เริ่มต้นขึ้น
มีเพียงการอวตารครั้งเดียวของพระเจ้า
ชีพบาบาได้วางรากฐานของโลกใหม โลกใหม่ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นได้หลังจากการจบสิ้นของความไม่ถูกต้องของโลกเก่าแห่งกลียุคเท่านั้น ดังนั้น การอวตารลงมาของชีพบาบาจึงเกิดขึ้น ณ ยุคบรรจบพบกันนี้เท่านั้น จะไม่มีการอวตารที่สูงส่งของพระเจ้าผู้เป็นพ่อในช่วงเวลาอื่นของกัลปนอกจากเวลานี้ ท่านอวตารลงมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากสภาวะของโลกซึ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ ไปจนถึงตอนจบของยุคเหล็ก มันเป็นเพียงเวลาเดียวของยุคแห่งการบรรจบพบกันที่ชีพบาบาได้อวตารลงมา และเปลี่ยนโลกไปเป็นสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่สำคัญที่สุด และเป็นสมัยที่เป็นสิริมงคลในกัลปเพราะเป็นเวลาที่ท่านอวตารลงมา มันอาจจะเรียกว่า “ยุคเพชร” ได้ด้วย พวกเราทั้งหมดอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน บัดนี้ เรากำลังตระเตรียมตนเองโดยผ่านราชโยคะ เพื่อการโยกย้ายจากนรกที่แท้จริงของปัจจุบันซึ่งเรียกว่า ยุคเหล็ก ไปสู่โลกใหม่แห่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อมที่เรียกว่า ยุคทอง (สวรรค์) ยุคแห่งการบรรจบพบกันมีไว้ สำหรับผู้ที่มีความรู้นี้ สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้นี้หรือผู้ที่ไม่เชื่อยังเป็น กลียุคของพวกเขา นี่คือเวลาที่ดวงวิญญาณธรรมดาจะเปลี่ยนไปสู่ดวงวิญญาณที่ชอบธรรมสูงสุด (Purushottam) นี่คือเหตุผลที่ช่วงเวลานี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นยุคแห่งการบรรจบพบกันของดวงวิญญาณที่ชอบธรรมสูงส่ง ในหนทางของความศรัทธาของการบูชากราบไหว้ การบรรจบพบกันของแม่น้ำสองสายหรือมากกว่านั้นถือว่าเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์ ปกติการสร้างวัดจะเลือก ณ จุดนี้ ผู้คนมาอาบน้ำที่จุดนี้ด้วยความปรารถนาที่จะชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ แต่ดวงวิญญาณไม่สามารถจะทำให้บริสุทธิ์ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกาย การบรรจบพบกันของแม่น้ำเป็นสัญลักษณ์ของการบรรจบพบกันของยุคทองและยุคเหล็ก นั่นคือเวลาที่ดวงวิญญาณได้ชำระหนี้ที่เคยมีมาก่อน ด้วยน้ำทิพย์แห่งความรู้ของพระเจ้าที่เปิดเผยโดยพระเจ้า หลังจากที่ท่านอวตารลงมาบนโลก